สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกกุ้งที่สำคัญของอินโดนีเซีย โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 60% ของมูลค่าการส่งออกรวม 1.68 พันล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออุตสาหกรรมกุ้งของอินโดนีเซียอย่างหนัก โดยเฉพาะกับเกษตรกรรายย่อย
แม้ภาษีนำเข้ารอบล่าสุดซึ่งตกลงกันในเดือนก.ค. และกำลังจะมีผลบังคับใช้ในสัปดาห์นี้อยู่ที่ 19% ซึ่งต่ำกว่าภาษีรอบแรกที่กำหนดไว้ที่ 32% แต่ก็ยังคงส่งผลกระทบทางธุรกิจอย่างชัดเจน ดังเช่น เดนนี เลโอนาร์โด เจ้าของฟาร์มกุ้งที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะชวา
ก่อนหน้านี้ เลโอนาร์โดวางแผนจะขยายฟาร์มโดยเพิ่มบ่อกุ้งอีก 100 บ่อ จากจำนวนเดิม 150 บ่อ แต่แผนการต้องสะดุดลงหลังคำขู่เรื่องภาษีของสหรัฐฯ ในเดือนเม.ย. ทำให้คำสั่งซื้อกุ้งลดลงอย่างมาก
ในมุมมองของเลโอนาร์โดนั้น การกดดันของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกของอินโดนีเซียได้ผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมต้องหาช่องทางใหม่ ๆ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ
อันดี ทัมซิล หัวหน้าสมาคมเกษตรกรกุ้งอินโดนีเซีย ประเมินว่า ภาษีนำเข้า 19% อาจทำให้การส่งออกกุ้งในปีนี้ลดลงถึง 30% เมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรมกว่าหนึ่งล้านคน
ด้านบุดี วีโบโว หัวหน้าสมาคมธุรกิจอาหารทะเล กล่าวว่า แม้มีข้อตกลงในเดือนก.ค. แต่ลูกค้าสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ยังคงชะลอคำสั่งซื้อกุ้ง พร้อมระบุว่า อินโดนีเซียอยู่ในสถานะเสียเปรียบเมื่อเทียบกับเอกวาดอร์ซึ่งเสียภาษีเพียง 15% โดยเอกวาดอร์เป็นผู้ผลิตกุ้งฟาร์มรายใหญ่ที่สุดของโลก
แม้จีนเป็นผู้นำเข้ากุ้งรายใหญ่ที่สุดของโลกในแง่ของปริมาณ แต่ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซียมักเลือกส่งออกกุ้งไปสหรัฐฯ เนื่องจากให้ราคาดีกว่า โดยจีนซื้อกุ้งอินโดนีเซียเพียง 2% เท่านั้นก่อนหน้าการเก็บภาษี
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมกุ้งอินโดนีเซียพยายามผลักดันสินค้าเข้าสู่ตลาดจีนมากขึ้น โดยในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ทัมซิลพร้อมคณะตัวแทนภาคอุตสาหกรรมได้เดินทางไปยังเมืองกว่างโจวของจีน เพื่อพบผู้นำเข้า เจ้าของร้านอาหาร และแพลตฟอร์มการซื้อขายสินค้าเกษตร และมีแผนเดินทางอีกในอนาคต
ทัมซิลตั้งเป้าว่า หากอินโดนีเซียสามารถครองส่วนแบ่งเพียง 20% ของตลาดนำเข้ากุ้งจีนซึ่งมีปริมาณรวมราว 1 ล้านตันต่อปี ก็จะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่ใหญ่หลวงสำหรับประเทศ
ด้านบุดีเสริมว่า อินโดนีเซียยังสามารถกระจายตลาดไปยังประเทศอื่น ๆ เช่น ตะวันออกกลาง เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหภาพยุโรป (EU) ขณะที่อินโดนีเซียกำลังจะลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับ EU
เลโอนาร์โดยังคงเชื่อมั่นว่า ธุรกิจที่เขาสืบทอดมาจากบิดาจะสามารถอยู่รอดท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐฯ ได้ แม้การเติบโตในระยะสั้นอาจไม่เป็นไปตามที่หวังไว้
เขาระบุว่า ธุรกิจยังคงมีอุปสงค์และอุปทานเพียงพอให้ดำเนินงานต่อไปได้ แต่เขายังไม่ค่อยมั่นใจนักสำหรับการขยายธุรกิจ