รายงานจากกระทรวงพาณิชย์กัมพูชาในวันนี้ (21 ส.ค.) เผยให้เห็นว่า มูลค่าการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมดของกัมพูชาในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 1.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 13.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่า 1.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายงานระบุว่า มูลค่าการนำเข้าดีเซลอยู่ที่ 786 ล้านดอลลาร์ ลดลง 12% ส่วนการนำเข้าน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 459.7 ล้านดอลลาร์ ลดลง 20.6% ขณะที่การนำเข้าก๊าซสำหรับการเผาไหม้เพิ่มขึ้น 6.3% อยู่ที่ 204.6 ล้านดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ปัจจุบันกัมพูชาต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากต่างประเทศโดยสมบูรณ์ เนื่องจากแหล่งสำรองน้ำมันใต้ทะเลยังไม่ถูกใช้ประโยชน์ ขณะที่กระทรวงเหมืองแร่และพลังงานคาดการณ์ว่า ความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันและก๊าซของกัมพูชาจะเพิ่มขึ้นจาก 2.8 ล้านตันในปี 2563 เป็น 4.8 ล้านตันในปี 2573
ทั้งนี้ หลังจากเกิดความขัดแย้งบริเวณชายแดน กัมพูชาได้สั่งปิดด่านและรณรงค์บอยคอตสินค้าไทย โดยกรมศุลกากรและสรรพสามิตของกัมพูชา (GDCE) ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 16 ก.ค. ระบุรายการสินค้าจากไทยที่ถูกห้ามนำเข้า ได้แก่ ผัก ผลไม้ น้ำมันเบนซิน ดีเซล ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซไนโตรเจนเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง และน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าจากประเทศไทยในเดือนก.ค. ลดลงถึง 44% จาก 297.4 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว เหลือเพียง 166 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี คีรีโพสต์รายงานความเห็นของ ดุจ ดาริน นักเศรษฐศาสตร์ชาวกัมพูชา ซึ่งมองว่า การนำเข้าจากไทยที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญนั้น สะท้อนถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของกัมพูชา โดยอ้างว่า ความสามารถในการผลิตภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงในภาคการเกษตร และการแปรรูปอาหาร ทำให้ความต้องการสินค้าจากต่างประเทศลดลง
ขณะเดียวกัน เขายังเรียกร้องให้กัมพูชาพึ่งพาตนเองมากขึ้น โดยแนะว่า การลดการพึ่งพาแหล่งนำเข้าจากภายนอกเพียงแห่งเดียวเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การกระจายการค้าไปยังประเทศอื่น ๆ ทั้งในอาเซียนและทั่วโลกจะช่วยให้กัมพูชามีทางเลือกมากขึ้นในการจัดหาสินค้าที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาดภายในประเทศ