นีรมาลา สิธารามาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินเดีย แสดงความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจอินเดียมีความยืดหยุ่นเนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจอินเดียสามารถรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจโลกได้
รมว.คลังอินเดียกล่าวในการประชุม Kautilya Economic Conclave ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงนิวเดลีในวันนี้ว่า แม้กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนทั่วโลกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เศรษฐกิจอินเดียมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือกับวิกฤตการณ์ พร้อมกับกล่าวว่า การเติบโตของอินเดียส่วนใหญ่พึ่งพาปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในต่างประเทศได้
นอกจากนี้ รัฐมนตรีคลังอินเดียกล่าวว่า อินเดียต้องการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตโดยเฉลี่ยที่ 8% เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศพัฒนาแล้วให้ได้ภายในปี 2590 โดยการแสดงความเห็นดังกล่าวมีขึ้นหลังจากธนาคารกลางอินเดียได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปีงบประมาณที่สิ้นสุดเดือนมี.ค. สู่ระดับ 6.8% จากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 6.5% ซึ่งสอดคล้องกับที่รัฐบาลประมาณการไว้ที่ 6.3% - 6.8% สำหรับช่วงเวลาดังกล่าว
รัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากอินเดียในอัตรา 50% ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย นอกจากนี้ สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงอีกเมื่อปธน.ทรัมป์ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่าประเภท H-1B ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อภาคบริการ อันเป็นภาคส่วนที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอินเดียถึง 60%
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และเพื่อเป็นการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ รัฐบาลอินเดียได้ปรับลดภาษีสินค้าและบริการ (GST) สำหรับสินค้าในชีวิตประจำวันและสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.5% ในการประชุมเมื่อวันที่ 1 ต.ค. โดยระบุถึงความไม่แน่นอนทั่วโลก และความจำเป็นในการประเมินว่าการปรับลดภาษี GST จะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออย่างไร