ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวพุ่งขึ้นกว่า 4% ในการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (6 ต.ค.) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากเงินเยนที่อ่อนค่าลงหลังจาก ซานาเอะ ทาคาอิจิ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งปูทางสู่การขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น โดยทาคาอิจิเป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองที่สนับสนุนการดำเนินนโยบายผ่อนคลายการเงินและการคลัง
หลังจากตลาดเปิดทำการได้เพียง 15 นาที ดัชนีนิกเกอิพุ่งขึ้น 1,914.38 จุด หรือ 4.18% แตะระดับ 47,683.88 จุด
ส่วนในช่วงเปิดตลาดนั้น ดัชนีนิกเกอิเปิดที่ระดับ 46,636.07 จุด เพิ่มขึ้น 866.57 จุ หรือ 1.90%
-- ซานาเอะ ทาคาอิจิ วัย 64 ปี ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในของญี่ปุ่น ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (4 ต.ค.) และเป็นการปูทางสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ
นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก ซึ่งรวมถึงโนมูระ ซิเคียวริตีส์ (Nomura Securities) คาดการณ์ว่า การที่ทาคาอิจิมีจุดยืนสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น และการที่เธอสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลังนั้น อาจลดโอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า โอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่น้อยลงของ BOJ จะส่งผลให้สกุลเงินเยนอ่อนค่าลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออกในตลาดหุ้นญี่ปุ่น แต่แนวโน้มดอกเบี้ยขาลงจะสร้างแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร ส่วนหุ้นที่ต้องพึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศและหุ้นบริษัทขนาดเล็กคาดว่าจะได้รับแรงหนุนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากนักลงทุนจะให้การตอบรับทุกสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย "อาเบะโนมิกซ์ (Abenomics)" ที่ริเริ่มโดยอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ
-- กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีก 137,000 บาร์เรล/วันในเดือนพ.ย. โดยมีเป้าหมายเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมา หลังเสร็จสิ้นการประชุมผ่านระบบออนไลน์ในวันอาทิตย์ (8 ต.ค.)
แถลงการณ์ของกลุ่มโอเปกพลัสระบุว่า เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีเสถียรภาพและปัจจัยพื้นฐานของตลาดน้ำมันที่ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากสต็อกน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำนั้น สมาชิกทั้ง 8 ประเทศจึงได้ตัดสินใจปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 137,000 บาร์เรล/วันในเดือนพ.ย. และจะจัดการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 2 พ.ย. เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการผลิตในวันข้างหน้า
สำหรับปริมาณการผลิตที่จะปรับเพิ่มในเดือนพ.ย.นั้น อยู่ในระดับเดียวกับเดือนต.ค. โดยในการประชุมครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา โอเปกพลัสมีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 137,000 บาร์เรล/วันในเดือนต.ค. หลังจากได้ปรับเพิ่มกำลังการผลิต 547,000 บาร์เรล/วันในเดือนก.ย., เพิ่มกำลังการผลิต 548,000 บาร์เรล/วันในเดือนส.ค. และปรับเพิ่มกำลังการผลิต 411,000 บาร์เรล/วันทั้งในเดือนพ.ค., เดือนมิ.ย. และเดือนก.ค.
-- ราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้นกว่า 1% ในช่วงเช้าวันนี้ (6 ต.ค.) หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด
ณ เวลา 06.53 น. ตามเวลาไทย ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 66 เซนต์ หรือ 1.08% แตะที่ 61.54 ดอลลาร์/บาร์เรล
โอเปกพลัสมีมติปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีก 137,000 บาร์เรล/วันในเดือนพ.ย. หลังเสร็จสิ้นการประชุมในวันอาทิตย์ (8 ต.ค.) อย่างไรก็ดี ปริมาณการผลิตที่จะปรับเพิ่มในเดือนพ.ย.นั้น อยู่ในระดับเดียวกับเดือนต.ค. และน้อยกว่าในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านั้น โดยโอเปกพลัสได้ปรับเพิ่มกำลังการผลิต 547,000 บาร์เรล/วันในเดือนก.ย., เพิ่มกำลังการผลิต 548,000 บาร์เรล/วันในเดือนส.ค. และปรับเพิ่มกำลังการผลิต 411,000 บาร์เรล/วันทั้งในเดือนพ.ค., เดือนมิ.ย. และเดือนก.ค.
นอกจากนี้ การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนพ.ย.ยังน้อยกว่าที่มีกระแสคาดการณ์ในตลาดก่อนหน้านี้ว่าโอเปกพลัสอาจจะเพิ่มการผลิตน้ำมันมากถึง 500,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด
-- หลังจากที่มีเด็กเสียชีวิตหลายรายซึ่งเชื่อมโยงกับการรับประทานยาน้ำเชื่อมแก้ไอในรัฐมัธยประเทศและรัฐราชสถาน กระทรวงสาธารณสุขของอินเดียได้ออกแนะนำการใช้ยาน้ำเชื่อมแก้ไออย่างเหมาะสมในเด็ก
คำแนะนำดังกล่าวซึ่งออกโดยสำนักงานบริการด้านสาธารณสุข (DGHS) ของอินเดียถึงทุกรัฐนั้น ได้เน้นย้ำถึงการสั่งจ่ายยาน้ำเชื่อมแก้ไอในเด็กอย่างรอบคอบ
ตามข้อมูลของ DGHS นั้น โรคไอเฉียบพลันส่วนใหญ่ในเด็กเป็นโรคที่มักหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา
DGHS เน้นย้ำว่า ยาแก้ไอและยาแก้หวัดไม่ควรถูกสั่งจ่ายหรือจ่ายให้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี
-- ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ สั่งให้ทีมงานตรวจสอบความช่วยเหลือของรัฐบาลกลางต่อเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน เพื่อพิจารณาว่าสามารถตัดงบส่วนใดได้บ้าง หลังทรัมป์มีความไม่พอใจมากขึ้นต่อผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลและต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์ในเมืองดังกล่าว
นับตั้งแต่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งที่ทำเนียบขาวเมื่อเดือนม.ค. เขาได้ใช้การข่มขู่ระงับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อกดดันฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ซึ่งรวมถึงพรรคเดโมแครตในรัฐบาลท้องถิ่นและระดับรัฐ รวมถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำที่เขามองว่าถูกครอบงำโดยลัทธิมาร์กซิสต์
แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกหญิงของทำเนียบขาวระบุว่า รัฐบาลจะไม่ให้เงินสนับสนุนแก่รัฐที่ยอมให้เกิดความโกลาหล แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าเงินช่วยเหลือส่วนใดบ้างที่ทรัมป์อาจพยายามระงับ