ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น ได้แถลงต่อรัฐสภาในวันนี้ (24 ต.ค.) ว่า เธอจะดำเนินมาตรการใช้จ่ายทางการคลังเชิงรุกเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และจะเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงที่เพิ่มขึ้น
ในระหว่างการแถลงต่อรัฐสภาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำญี่ปุ่นเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (21 ต.ค.) ทาคาอิจิได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งถือเป็น "วาระสำคัญสูงสุด"
ขณะเดียวกันเธอให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมของญี่ปุ่นเป็น 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ภายในเดือนมี.ค.ปีหน้า ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายปัจจุบันที่กำหนดไว้สำหรับปีงบประมาณ 2570 ถึงสองปี โดยทาคาอิจิได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนการดำเนินนโยบายการคลังแบบผ่อนคลาย และเป็นสายเหยี่ยวในด้านความมั่นคงตามค่านิยมของนักอนุรักษ์นิยม
ทาคาอิจิวัย 64 ปี ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ไม่ได้กล่าวถึงการส่งเสริมสิทธิและศักยภาพของผู้หญิงในสุนทรพจน์ของเธอครั้งนี้
"ฉันจะเปลี่ยนความวิตกกังวลของประชาชนเกี่ยวกับปัจจุบันและอนาคตให้เป็นความหวัง และสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง" เธอกล่าวในการประชุมวิสามัญของรัฐสภาญี่ปุ่น โดยเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในนโยบายการคลังที่มีความรับผิดชอบและเชิงรุก เพื่อเพิ่มรายได้ ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพิ่มผลกำไรของภาคธุรกิจ และกระตุ้นรายได้จากภาษี
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า นโยบายการคลังแบบขยายตัวของเธออาจทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องเพิ่มการออกพันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุล แต่ทาคาอิจิกล่าวว่ารัฐบาลสามารถบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนทางการเงิน หากสัดส่วนหนี้ของรัฐบาลต่อ GDP ลดลงด้วยการทำให้แน่ใจว่าการเพิ่มขึ้นของหนี้สินนั้นช้ากว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ส่วนในการต่อสู้กับเงินเฟ้อนั้น ทาคาอิจิกล่าวว่าเธอตั้งเป้าที่จะยกเลิกภาษีน้ำมันเป็นการชั่วคราว ซึ่งมาตรการนี้มีการใช้มาตั้งแต่ปี 2517 ขณะเดียวกันก็จะเพิ่มเกณฑ์รายได้ที่ไม่ต้องเสียภาษีจากปัจจุบัน 1.03 ล้านเยน (ประมาณ 6,700 ดอลลาร์) เป็น 1.60 ล้านเยน ในปีนี้