ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้นกว่า 200 จุดในช่วงเช้าวันนี้ (27 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากสัญญาณบ่งชี้ถึงความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมทั้งความหวังที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าคาด
ณ เวลา 06.48 น.ตามเวลาไทยในวันนี้ ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ ปรับตัวขึ้น 286 จุด หรือ +0.60% แตะที่ระดับ 47,682 จุด
นักลงทุนขานรับสัญญาณบ่งชี้ถึงความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางเยือนหลายประเทศในเอเชีย โดยสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยหลังประชุมร่วมกับคณะผู้แทนจีนที่ประเทศมาเลเซียเมื่อวันอาทิตย์ (26 ต.ค.) ว่า ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุฉันทามติเบื้องต้นในหัวข้อต่าง ๆ รวมถึงการควบคุมการส่งออก สารเฟนทานิล และภาษีการขนส่ง
เบสเซนต์ยังระบุว่า การเจรจากับเจ้าหน้าที่จีนเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และครอบคลุมทุกมิติ และเสริมว่า การขยายระยะเวลาพักรบทางการค้าน่าจะเดินหน้าต่อไปได้ แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับปธน.ทรัมป์
-- กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยในวันศุกร์ว่า ดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 3.0% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.1% จากระดับ 2.9% ในเดือนส.ค.
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.0% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.1% จากระดับ 3.1% ในเดือนส.ค.
หลังจากเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 98.9% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมวันที่ 29 ต.ค. และให้น้ำหนัก 98.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมวันที่ 10 ธ.ค.
-- ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ อาจจะไม่สามารถเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนต.ค.ในเดือนหน้าได้ เนื่องจากหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ยังคงถูกปิดดำเนินการเนื่องจากขาดงบประมาณ หรือชัตดาวน์
ทำเนียบขาวระบุในแถลงการณ์ว่า เนื่องจากเจ้าหน้าที่สำรวจไม่สามารถออกปฏิบัติงานภาคสนามได้ ทำเนียบขาวคาดการณ์ว่าอาจจะไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลเงินเฟ้อประจำเดือนต.ค. ในเดือนหน้า ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ความขัดแย้งเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณชั่วคราว ระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสได้ส่งผลให้มีการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางเป็นวงกว้าง และได้ระงับการเผยแพร่ข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางประมาณ 700,000 คนถูกสั่งให้หยุดงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกเกือบ 700,000 คนยังคงทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง
-- นักลงทุนจับตาการพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน นอกรอบการประชุมนอกรอบการประชุมเอเปคที่เกาหลีใต้ในวันที่ 30 ต.ค. นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง Alphabet, Amazon, Apple, Meta Platforms และ Microsoft
-- บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์ (Moodys) ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศสไว้ที่ระดับ Aa3 แต่ปรับแนวโน้มความน่าเชื่อถือระยะยาวของประเทศจาก "มีเสถียรภาพ" เป็น "เชิงลบ" โดยให้เหตุผลว่า ความแตกแยกทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นอาจกระทบต่อความสามารถของรัฐบาลในการลดการขาดดุลงบประมาณ
การคงอันดับเครดิตในครั้งนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับรัฐบาลฝรั่งเศส หลังจากก่อนหน้านี้สถาบันจัดอันดับอื่น ๆ ได้แก่ ฟิทช์ (Fitch), ดีบีอาร์เอส (DBRS) และเอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) ต่างปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศสภายในช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือนกว่า
-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดาเพิ่มอีก 10% จากอัตราเดิม เพื่อตอบโต้โฆษณาทางโทรทัศน์ของรัฐบาลรัฐออนแทรีโอ ที่ออกอากาศซ้ำระหว่างถ่ายทอดสดการแข่งขันเบสบอลเมเจอร์ลีก (MLB) รอบชิงชนะเลิศ หรือเวิลด์ซีรีส์
ทรัมป์โพสต์ผ่านแพลตฟอร์มทรูธโซเชียลว่า โฆษณาดังกล่าวบิดเบือนข้อเท็จจริงและเป็นการกระทำที่ไม่เป็นมิตร พร้อมย้ำว่าจะปรับขึ้นภาษีจากที่แคนาดาจ่ายอยู่ในปัจจุบันอีก 10%
ทรัมป์ชี้ว่า แคนาดาควรจะถอดโฆษณานี้ออกทันที แต่กลับปล่อยให้ออกอากาศในระหว่างรอบชิงชนะเลิศ ทั้งที่ทราบว่าเป็นเรื่องบิดเบือน