สหรัฐฯ จับมือไทย-มาเลเซีย ลงนาม MOU แร่หายาก เดิมพันลดการผูกขาดจีน แต่จะทำได้จริงหรือ?

ข่าวต่างประเทศ Tuesday October 28, 2025 15:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านแร่สำคัญระหว่างสหรัฐอเมริกากับไทยและมาเลเซีย เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลายเป็นจุดสนใจใหญ่ในเวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพราะไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐฯ ในการลดการพึ่งพาจีน ซึ่งครองอำนาจในตลาดแร่หายากมายาวนาน

ข้อตกลงใหม่นี้ถูกมองว่าเป็นหมากสำคัญในเกมยุทธศาสตร์โลก เมื่อสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จับมือกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสร้างเส้นทางจัดหาแร่หายากที่มั่นคงขึ้น หลังจีนเริ่มจำกัดการส่งออกและใช้ทรัพยากรเหล่านี้เป็นเครื่องมือทางการค้าในช่วงปีที่ผ่านมา

แร่หายาก ทรัพยากรสำคัญขับเคลื่อนเทคโนโลยีโลก

แร่หายาก (rare earth) เป็นกลุ่มแร่โลหะที่มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่แม่เหล็กถาวรในมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม ชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงระบบอาวุธนำวิถี

โดยเฉพาะธาตุหลักอย่าง นีโอดิเมียม (Neodymium), ดิสโพรเซียม (Dysprosium) และ เทอร์เบียม (Terbium) คือวัตถุดิบที่ทำให้เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม "แร่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์" ของโลก

ปัญหาคือ จีนควบคุมกระบวนการผลิตและแปรรูปแร่เหล่านี้มากกว่า 80% ของโลก การที่จีนลดการส่งออกลงอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ทำให้หลายประเทศตระหนักถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาแหล่งอุปทานเพียงแหล่งเดียว และเร่งหาทางเลือกใหม่เพื่อรักษาเสถียรภาพในห่วงโซ่อุปทาน

สหรัฐฯ เดินหมาก จับมือไทย-มาเลเซีย สร้างทางเลือกใหม่

การลงนาม MOU กับมาเลเซียและไทยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (26 ต.ค.) เป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ เพิ่งทำข้อตกลงกรอบความร่วมมือแร่ธาตุสำคัญมูลค่า 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กับออสเตรเลียเมื่อต้นเดือนนี้ จึงยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงการยกระดับความพยายามของสหรัฐฯ ในการรับมือกับการควบคุมการส่งออกแร่สำคัญและแร่หายากของจีน โดยการจับมือกับสองชาติอาเซียน รวมถึงออสเตรเลีย จะเป็นการเปิดทางให้มีการส่งออกแร่ธาตุสำคัญมากขึ้น เพื่อป้อนให้กับผู้ผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นสูงในสหรัฐฯ

สำหรับความร่วมมือกับไทยนั้น ตามแถลงการณ์ของทำเนียบขาว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย ได้ร่วมกันลงนามใน "บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกากับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญของโลก และส่งเสริมการลงทุน" โดยข้อตกลงมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาและขยายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ ส่งเสริมการค้าและการลงทุนในการสำรวจ การสกัด การแปรรูป และการรีไซเคิล ตลอดจนเสริมสร้างการกำกับดูแลภาคส่วนทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญ เพื่อให้ไทยมีส่วนร่วมกับห่วงโซ่อุปทานโลกมากขึ้น อีกทั้งยังมุ่งเน้นสนับสนุนการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมแปรรูปภายในประเทศ แทนที่จะเน้นการส่งออกวัตถุดิบ

ในส่วนของข้อตกลงกับมาเลเซียนั้น จะมุ่งส่งเสริมการค้าและการลงทุนในการสำรวจ การสกัด การแปรรูป และการกลั่นแร่ธาตุสำคัญ เพื่อให้เกิด "ตลาดแร่ธาตุสำคัญและแร่หายากที่มีประสิทธิภาพและมั่นคง" โดยมาเลเซียถูกมองว่ามีแต้มต่อด้านการแปรรูป เนื่องจากมีขีดความสามารถอยู่แล้ว นอกจากนี้ มาเลเซียซึ่งมีปริมาณสำรองแร่หายากสูงถึง 16.1 ล้านตัน ยังได้ให้คำมั่นว่าจะงดเว้นการใช้มาตรการห้ามส่งออกหรือจำกัดโควตาแร่ธาตุสำคัญและแร่หายากที่ส่งไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมาเลเซียจะยังคงห้ามการส่งออกแร่หายากดิบ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการแปรรูปปลายน้ำ (downstream processing) ภายในประเทศเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม

ยุทธศาสตร์สร้าง "ทางด่วน" และอำนาจต่อรอง

นักวิเคราะห์ด้านโลจิสติกส์ระบุว่า ข้อตกลงกับประเทศในอาเซียนเป็นกลไกที่ช่วย "ซื้อเวลา" ให้สหรัฐฯ สามารถจัดตั้งเส้นทางการแปรรูปทางเลือกใหม่ได้ ขณะเดียวกันก็สร้างโครงข่ายโลจิสติกส์เพื่อการกระจายแหล่งจัดหา ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนการปรับปรุงด้านโลจิสติกส์ในไทย เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง และเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงต่าง ๆ โดยมีเจตนาเพื่อสร้าง "ทางด่วนแร่หายากแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ที่จะเชื่อมโยงการสกัดและการแปรรูปในภูมิภาคเข้ากับผู้ซื้อในสหรัฐฯ โดยตรง

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ต่างประเทศมองว่า ความเคลื่อนไหวนี้เป็นกลยุทธ์ระยะยาวของสหรัฐฯ ในการรับมือกับสงครามการค้าและการผูกขาดแร่หายากของจีน การประกาศข้อตกลงกับออสเตรเลีย มาเลเซีย และไทย มีเป้าหมายโดยตรงเพื่อ "ลดอำนาจการต่อรองของจีน" ท่ามกลางสถานการณ์ที่ปักกิ่งขยายการควบคุมการส่งออกวัสดุและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับแร่หายาก

เฉิน จื้ออู่ อาจารย์ด้านการเงินแห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง ให้ความเห็นว่า การทำข้อตกลงเช่นนี้ถือเป็น "กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงที่ดีสำหรับสหรัฐฯ เสมอ" เนื่องจากไม่มีประเทศไหนที่อยากจะตกอยู่ภายใต้มาตรการทางการค้าของจีนในอนาคต

ด้านจอน ไฮคาวี ประธานบริษัทที่ปรึกษาอุตสาหกรรม Stormcrow Capital จากโทรอนโต มองว่า หากสหรัฐฯ สามารถทำตามแผนการที่เป็นรูปธรรมในการซื้อวัสดุเหล่านี้จากมาเลเซียและไทยตามสัญญาซื้อขายระยะยาว และมีการจัดตั้งการแปรรูปปลายน้ำอย่างเป็นระบบ ข้อตกลงนี้ก็จะช่วยบรรเทาความเสี่ยงได้จริง

ความท้าทายในทางปฏิบัติ

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังคงเตือนถึงความท้าทายที่สำคัญ เนื่องจากจีนยังคงควบคุมกำลังการแปรรูปทั่วโลกมากกว่า 85% ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ยากจะแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น

ชาร์ลส์ ชาง อาจารย์ด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยฟูตั้นในเซี่ยงไฮ้ เตือนว่า ข้อตกลงของสหรัฐฯ กับทั้งไทยและมาเลเซียต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาคอุตสาหกรรม และต้องใช้เวลาอีกนานในการพัฒนาศักยภาพการแปรรูป กว่าที่จะมีวัตถุดิบปริมาณมากพอที่จะเข้าถึงผู้ซื้อในสหรัฐฯ ได้

ดังนั้น ความสำเร็จในทางปฏิบัติจึงขึ้นอยู่กับว่าข้อตกลงนี้จะสามารถพัฒนากลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานและห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนได้จริงหรือไม่ ในขณะที่จีนยังไม่ต้องกังวลอะไรในตอนนี้ เนื่องจากยังมี "ห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคงและราคาถูกที่สุด" ในโลกอยู่ในครอบครอง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ