ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ได้เรียกร้องให้ประเทศในเอเชีย-แปซิฟิกสนับสนุนการค้าเสรี และรักษาห่วงโซ่อุปทานให้มีเสถียรภาพ โดยการแสดงความเห็นดังกล่าวมีขึ้นในวันแรกของการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่เกาหลีใต้ในวันนี้ (31 ต.ค.) และมีขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากที่จีนได้ทำข้อตกลงสงบศึกการค้าชั่วคราวกับสหรัฐฯ เมื่อวานนี้
"ยิ่งเผชิญกับช่วงเวลาที่ปั่นป่วนมากเท่าไหร่ เรายิ่งต้องทำงานร่วมกันมากขึ้นเท่านั้น" ปธน.สีกล่าว และเสริมว่า "เราควรทำงานร่วมกันเพื่อรักษาห่วงโซ่ภาคอุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานให้มีเสถียรภาพและราบรื่น เราต้องร่วมมือกันแทนที่จะแยกทางกัน และเสริมสร้างการเชื่อมโยงของเราแทนที่จะตัดขาด เราควรขยายผลประโยชน์ร่วมของเราอย่างจริงจัง และสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานแบบเปิด"
ทั้งนี้ ปธน.สีได้เสนอ 5 ข้อแนะนำสำหรับความร่วมมือในการประชุมสุดยอดเอเปค ซึ่งได้แก่ การปกป้องระบบการค้าพหุภาคี การสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง การรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทาน การส่งเสริมการค้าสีเขียวและดิจิทัล และการส่งเสริมการพัฒนาที่ครอบคลุม โดยการแสดงความเห็นครั้งนี้ ปธน.สีไม่ได้กล่าวถึงสหรัฐฯ หรือภาษีศุลกากรโดยตรง
นอกจากนี้ ปธน.สีกล่าวว่า จีนจะเดินหน้าเปิดตลาดให้กับธุรกิจต่างชาติ และจะยังคงมอบโอกาสใหม่ ๆ สำหรับเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก
ด้านปธน.ทรัมป์ได้เดินทางกลับสหรัฐฯ หลังเสร็จสิ้นการเจรจากับปธน.สีเมื่อวานนี้ ขณะที่ปธน.สียังคงอยู่ที่เกาหลีใต้เพื่อร่วมการประชุมเอเปค ซึ่งการกล่าวสุนทรพจน์ของเขาในเวทีเอเปคถือเป็นการเน้นย้ำมุมมองที่ว่า โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบศตวรรษ และยังเป็นการเน้นย้ำว่าจีนกำลังเสนอโอกาสในระดับโลก ในช่วงเวลาที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเผชิญกับภาวะไร้เสถียรภาพและความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น
นับตั้งแต่เกิดความตึงเครียดทางการค้ารอบแรกกับสหรัฐฯ เมื่อประมาณ 7 ปีที่ผ่านมา กลุ่มประเทศสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ได้กลายมาเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของจีน แซงหน้าสหภาพยุโรป (EU)
โรเดียม กรุ๊ป (Rhodium Group) เปิดเผยในรายงานเมื่อวานนี้ว่า เอเชียเป็นแหล่งการลงทุนในต่างประเทศของจีนในอันดับต้น ๆ ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา รองลงมาคือแอฟริกาและยุโรป โดยบริษัทจีนประกาศการลงทุนในเอเชียเป็นมูลค่า 1.54 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งคิดเป็นมูลค่าสูงสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19