ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ (10 พ.ย.) หลังมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความคืบหน้าในการเจรจาเพื่อยุติการปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือชัตดาวน์
ณ เวลา 07.07 น.ตามเวลาไทยในวันนี้ ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวขึ้น 162 จุด หรือ +0.34% แตะที่ระดับ 47,247 จุด
การปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มใกล้จะยุติลง หลังจากแหล่งข่าวเปิดเผยว่ากลุ่มวุฒิสมาชิกสายการของพรรคเดโมแครตตกลงที่จะสนับสนุนร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อให้หน่วยงานของรัฐบาลกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง และจัดหาเงินทุนให้กับบางกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ สำหรับปีหน้า
ภายใต้ข้อตกลงนี้ สภาคองเกรสจะผ่านร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณระยะเวลา 1 ปีเต็มให้กับกระทรวงเกษตร กระทรวงกิจการทหารผ่านศึก และสภาคองเกรส ในขณะเดียวกันก็จะจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานอื่น ๆ จนถึงวันที่ 30 มกราคม 2569 โดยร่างกฎหมายนี้จะให้เงินเดือนแก่พนักงานของรัฐบาลกลางที่ถูกสั่งให้หยุดงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง และจะดำเนินการจ่ายเงินของรัฐบาลกลางให้กับรัฐและหน่วยงานท้องถิ่นที่ถูกระงับไปก่อนหน้านี้
-- บริษัทวิจัยตลาด ยูโกฟ (YouGov) รายงานผลสำรวจล่าสุดว่า ชาวอเมริกันมีความคิดเห็นแตกต่างกันว่าใครควรต้องรับผิดชอบต่อการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หรือชัตดาวน์ ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
ผลสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ 32% โทษว่าเป็นความผิดของพรรคเดโมแครต ขณะที่ 35% โทษพรรครีพับลิกัน ส่วน 28% มองว่าทั้งสองพรรคต้องรับผิดชอบพอ ๆ กัน
เมื่อเทียบกับการสำรวจครั้งก่อนเมื่อช่วงกลางเดือนต.ค. พบว่า สัดส่วนผู้ตอบแบบสำรวจที่โทษพรรครีพับลิกันลดลง 4 จุดเปอร์เซ็นต์ ขณะที่สัดส่วนผู้ที่มองว่าผิดทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้น 4 จุดเปอร์เซ็นต์
ผู้ตอบแบบสำรวจราวหนึ่งในสาม หรือประมาณ 33% กล่าวว่า ภาวะชัตดาวน์ส่งผลกระทบต่อพวกเขามากหรือค่อนข้างมาก เพิ่มขึ้นจากระดับ 21% ในการสำรวจครั้งก่อน
-- จีนได้ระงับมาตรการห้ามส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทาง หรือ Dual-use Items (สินค้าที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในเชิงพาณิชย์และทางทหาร) ที่เกี่ยวข้องกับแกลเลียม เจอร์เมเนียม พลวง และวัสดุซูเปอร์ฮาร์ด ไปยังสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศมาตรการห้ามส่งออกดังกล่าวเมื่อเดือนธ.ค. 2567 ส่วนการประกาศระงับมาตรการดังกล่าวในครั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 27 พ.ย. 2569 อย่างไรก็ตาม กระทรวงฯ ไม่ได้ให้รายละเอียดอื่นใดเพิ่มเติม
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (7 พ.ย.) จีนได้ประกาศระงับมาตรการควบคุมการส่งออกอื่น ๆ ที่บังคับใช้เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ซึ่งรวมถึงการเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายาก (rare earth) และวัสดุที่ใช้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียม
-- สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากที่ปรับตัวลง 0.3% ในเดือนก.ย.
รายงานระบุว่า ถือเป็นครั้งแรกที่ดัชนี CPI ปรับตัวขึ้นนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. และเพิ่มขึ้นในอัตรารวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.
ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดราคาสินค้าหน้าประตูโรงงาน ลดลง 2.1% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันยาวนานถึง 37 เดือน แต่ลดลงน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2567 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง 2.2% หลังจากที่ลดลง 2.3% ในเดือนก.ย.
-- เจนเซน หวง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินวิเดีย (Nvidia) เปิดเผยว่า เขาได้ขอให้บริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง (TSMC) เพิ่มการผลิตชิป หลังความต้องการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงแข็งแกร่งและเติบโตต่อเนื่อง
หวงระบุระหว่างเข้าร่วมงานกีฬาประจำปีของ TSMC ที่เมืองซินจู๋ ประเทศไต้หวันว่า ธุรกิจของอินวิเดียขยายตัวอย่างมั่นคง และเติบโตเพิ่มขึ้นทุกเดือน พร้อมเผยว่า ซัพพลายเออร์ชิปหน่วยความจำ AI ทั้งสามรายของบริษัท ได้แก่ เอสเค ไฮนิกซ์ (SK Hynix), ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ (Samsung Electronics) และไมครอน เทคโนโลยี (Micron Technology) ต่างได้ขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของอินวิเดีย
-- บริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) บรรลุข้อตกลงเข้าซื้อกิจการบริษัทเมตเซรา (Metsera) ด้วยมูลค่ารวม 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ปิดฉากการแข่งประมูลที่ดุเดือดกับบริษัทโนโว นอร์ดิสค์ (Novo Nordisk) เพื่อครอบครองสตาร์ตอัปด้านยาลดน้ำหนักรายนี้
เมตเซราเปิดเผยว่า ไฟเซอร์จะจ่ายเงินสูงสุด 86.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น โดยแบ่งเป็นเงินสดเริ่มต้น 65.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น และอาจจ่ายเพิ่มได้อีกสูงสุด 20.65 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น หากบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ในอนาคต
ด้านโนโว นอร์ดิสค์ระบุในแถลงการณ์ว่า หลังจากการพิจารณาอย่างรอบคอบ บริษัทตัดสินใจไม่เพิ่มข้อเสนอซื้อกิจการเมตเซรา พร้อมย้ำว่าจะยังคงมองหาโอกาสลงทุนและเข้าซื้อกิจการที่สอดคล้องกับเกณฑ์ผลตอบแทน การจัดสรรเงินทุน และยุทธศาสตร์ระยะยาวของบริษัทต่อไป
-- ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนามกล่าวว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไตรมาส 4 ต้องเติบโตอย่างน้อย 8.4% หากเวียดนามต้องการบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐบาลในปี 2568 ที่มากกว่า 8%
นายกฯ จิ๋งห์ระบุว่า ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศ เช่น การดึงโครงการขนาดใหญ่ที่มีเงินลงทุนจากต่างประเทศ การส่งออก และการบริโภคภายในประเทศ ยังไม่เป็นไปตามความคาดหมาย
ภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลให้การส่งออกชะลอตัว การบริโภคภายในประเทศจนถึงเดือนต.ค. ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลที่ระดับ 12% และการเบิกจ่ายเงินลงทุนภาครัฐยังล่าช้า
รัฐบาลเวียดนามอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับกลุ่มตลาดร่วมของอเมริกาใต้ (Mercosur) และสภาความร่วมมือของประเทศอาหรับในอ่าวเปอร์เซีย (GCC) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการค้า