ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของเมียนมาจะหดตัวลง 2% ในปีนี้ อันเนื่องมาจากสงครามกลางเมืองและผลกระทบจากแผ่นดินไหวเมื่อเดือนมี.ค.ที่ยังคงฉุดรั้งเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ธนาคารโลกมองว่าการเติบโตของเศรษฐกิจเมียนมายังถูกกระทบจากอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ การขาดแคลนแรงงาน และปัญหาไฟฟ้าดับที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ธนาคารโลกเปิดเผยการคาดการณ์ดังกล่าวในรายงาน "Myanmar Economic Monitor" ซึ่งมีการเผยแพร่ในวันนี้ (8 ธ.ค.) โดยแม้การคาดการณ์ล่าสุดของธนาคารโลกจะดีกว่าการประมาณการก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าเศรษฐกิจจะหดตัว 2.5% แต่ก็สวนทางกับที่รัฐบาลทหารเมียนมาคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3%
รายงานดังกล่าวระบุว่า แม้เงินเฟ้อของเมียนมาได้ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา แต่คาดว่าจะยังคงอยู่เหนือระดับ 20% ในระยะใกล้นี้ ซึ่งยังคงสร้างแรงกดดันต่อค่าครองชีพ ส่วนสกุลเงินจ๊าตแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่อ่อนค่าลงอย่างมากเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่บริษัทต่าง ๆ มีกำลังการผลิตที่สูงขึ้น และปริมาณการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
เมียนมายังคงเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และสงครามกลางเมืองที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่กองทัพได้ทำรัฐประหารโค่นอำนาจรัฐบาลพลเรือนของอองซาน ซูจี ในปี 2564 โดยธนาคารโลกระบุว่า ความขัดแย้งทางการเมืองได้ทำให้ตลาดต่าง ๆ ของเมียนมาตกอยู่ในภาวะชะงักงัน และทำให้ความไม่มั่นคงทางอาหารทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชน 12.4 ล้านคน ขณะเดียวกันปัญหาขาดแคลนยังส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการผลิต
ด้านพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาได้ให้คำมั่นว่าจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปเป็นระยะ โดยระยะแรกกำหนดไว้ในวันที่ 28 ธ.ค. ซึ่งเป็นความพยายามที่จะฟื้นฟูเสถียรภาพและการยอมรับจากนานาชาติ
นอกจากนี้ เมียนมายังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.7 ในเดือนมี.ค.ปีนี้ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 3,800 ราย และบาดเจ็บกว่า 5,000 ราย
ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเมียนมาจะฟื้นตัวปานกลางในปีหน้า โดยได้แรงหนุนจากมาตรการบูรณะฟื้นฟูหลังแผ่นดินไหว รวมทั้งการที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ดี คาดว่าเมียนมาจะเผชิญกับความท้าทายด้านการคลัง เนื่องจากการขาดดุลการคลังของรัฐบาลมีแนวโน้มพุ่งแตะระดับ 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปีหน้า