นักวิชาการเรียกร้อง "สี จิ้นผิง" หนุนเงินหยวนแข็งค่า เตือนผลกระทบเศรษฐกิจ

ข่าวต่างประเทศ Tuesday December 16, 2025 14:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนกำลังเผชิญกับเสียงเรียกร้องจากบรรดานักวิชาการให้ดำเนินการผลักดันเงินหยวนให้แข็งค่า เนื่องจากกังวลว่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องกำลังเป็นอุปสรรคขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจจีน

นักวิชาการเหล่านี้ซึ่งรวมถึงนักเศรษฐศาสตร์และอดีตเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางจีน มองว่า จีนจำเป็นต้องผลักดันเงินหยวนให้แข็งค่าหากต้องการปรับสมดุลทางเศรษฐกิจด้วยการลดพึ่งพาการส่งออก กระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงซบเซา และลดความขัดแย้งด้านการค้า โดยการแสดงความเห็นเกี่ยวกับค่าเงินซึ่งเป็นประเด็นที่อ่อนไหวนั้น นับเป็นการเรียกร้องอย่างเปิดเผยต่อรัฐบาลจีนภายใต้การนำของปธน.สีซึ่งมักจะดำเนินนโยบายแบบคลุมเครือ และเสียงเรียกร้องเหล่านี้กำลังกระตุ้นให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า ผู้กำหนดนโยบายของจีนอาจจะดำเนินการเพื่อปรับเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้น

โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ประเมินว่า เงินหยวนมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงถึง 1 ใน 4 เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

ขณะที่แบรด เซทเตอร์ นักวิชาการจากสภาวิเทศสัมพันธ์และอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญที่จีนควรจะมีการอภิปรายกันในประเทศเกี่ยวกับต้นทุนและประโยชน์ที่ได้จากการที่จีนยังคงใช้นโยบายเงินหยวนอ่อนค่า พร้อมกับกล่าวว่า เงินหยวนที่อ่อนค่าทำให้ผู้บริโภคและเศรษฐกิจของของจีนต้องแบกรับต้นทุนที่แท้จริง

หลิว ชื่อจิ่น อดีตสมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีน (PBOC) กล่าวว่า ยุทธศาสตร์การค้าต่างประเทศของจีนจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยจีนจำเป็นต้องสร้างความสมดุลขั้นพื้นฐานระหว่างการนำเข้าและการส่งออก พร้อมกับกล่าวว่า สกุลเงินหยวนที่แข็งค่าอย่างสมเหตุสมผลนั้น จะเพิ่มอำนาจการซื้อในต่างประเทศและกระตุ้นการบริโภค ตลอดจนช่วยขยายฐานการใช้สกุลเงินหยวนทั่วโลก

ด้าน จาง จุน คณบดีภาควิชาเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฟูตันกล่าวว่า การปล่อยให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น 10-30% ในระยะกลางถึงระยะยาวนั้น เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยลดการเกินดุลการค้าและเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การค้าของจีน เช่น การบริการ

ทั้งนี้ สกุลเงินหยวนของจีนอ่อนค่าลงถึง 13% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในช่วงเวลา 3 ปีที่นับจนถึงปี 2567 เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนเผชิญกับภาวะตกต่ำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน ตลอดจนการที่จีนเผชิญกับภาวะเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าจากต่างประเทศน้อยลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ