สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ยุโรป (ACEA) เปิดเผยในวันนี้ (23 ธ.ค.) ว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่โดยรวมในยุโรป ซึ่งประกอบด้วยสหภาพยุโรป (EU) สหราชอาณาจักร (UK) และกลุ่มสมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.4% สู่ระดับ 1.1 ล้านคันในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเดือนที่ 5 โดยได้แรงหนุนจากยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มขึ้นในตลาดต่าง ๆ รวมถึงเยอรมนี อิตาลี และสเปน
รายงานระบุว่า เฉพาะใน EU ยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น 2.1% แตะระดับเกือบ 900,000 คัน ขณะที่ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ทะยานขึ้น 44.1%, รถยนต์ไฮบริด (HEV) พุ่งขึ้น 38.4% และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เพิ่มขึ้น 4.2% ส่งผลให้รถยนต์กลุ่มพลังงานไฟฟ้า (BEV, HEV, PHEV) คิดเป็นสัดส่วน 65.6% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์ทั้งหมดใน EU ในเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้นจากระดับ 56% ในเดือนส.ค. 2567
ยอดจดทะเบียนรถ BEV ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ยอดขายนั้น มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 21% ใน EU, 26% ใน UK และ 98% ในนอร์เวย์
อุตสาหกรรมรถยนต์ของยุโรปกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ซึ่งรวมถึงการแข่งขันจากจีน ตลอดจนมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และความยากลำบากในการทำกำไรควบคู่ไปกับการที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบการใช้รถ EV ภายในประเทศ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการยุโรปได้เปิดเผยแผนการที่จะยกเลิกคำสั่งห้ามขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปที่มีผลบังคับใช้ในปี 2578 หลังจากได้รับแรงกดดันจากอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาค ซึ่งถือเป็นการถอยหลังจากนโยบายพลังงานสีเขียวครั้งใหญ่ที่สุดของ EU ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า ในระยะยาวแล้ว รถ EV คือทิศทางในอนาคต
เมื่อแยกตามแบรนด์รถยนต์พบว่า ยอดจดทะเบียนของรถโฟล์คสวาเกน (Volkswagen) เพิ่มขึ้น 4.1% และยอดจดทะเบียนของรถเรโนลต์ (Renault) เพิ่มขึ้น 3% สวนทางกับยอดจดทะเบียนของรถสเตลแลนทิส (Stellantis) ที่ลดลง 2.7% ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงหลังจากเติบโตต่อเนื่องมาสามเดือน
ส่วนยอดจดทะเบียนของรถเทสลา (Tesla) ลดลง 11.8% สวนทางกับยอดจดทะเบียนของบีวายดี (BYD) ซึ่งเป็นคู่แข่งจากจีนพุ่งที่สูงขึ้นแข็งแกร่งถึง 221.8% โดยส่วนแบ่งตลาดของเทสลาในเดือนพ.ย. อยู่ที่ 2.1% ขณะที่บีวายดีอยู่ที่ 2%