หัวหน้าฝ่ายแปรรูปรัฐวิสาหกิจปากีสถานเปิดเผยวันนี้ (24 ธ.ค.) ว่า จะมีเจ้าของรายใหม่เข้ามาบริหารงานสายการบินปากีสถานอินเตอร์เนชันแนลแอร์ไลน์ (PIA) ในช่วงเดือนเม.ย. ปีหน้า พร้อมรับเงินทุนใหม่ก้อนใหญ่ตามข้อตกลงแปรรูปสายการบินแห่งชาติ
กลุ่มบริษัทนำโดย อารีฟ ฮาบิบ คอร์ปอเรชัน (Arif Habib Corporation) ชนะการประมูลหุ้น PIA ในสัดส่วน 75% นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของรัฐบาลหลังจากแผนการขายสายการบินแห่งชาตินี้ยืดเยื้อมานาน โดยกลุ่มอารีฟ ฮาบิบ เสนอราคาสูงถึง 1.35 แสนล้านรูปี (ราว 482.14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าราคากลางที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 1 แสนล้านรูปี ถือเป็นการพลิกฟื้นสถานการณ์อย่างเห็นได้ชัด หลังจากความพยายามขายกิจการล้มเหลวเมื่อปีที่ผ่านมา
ขณะนี้กระบวนการเหลือเพียงรอการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากคณะกรรมการพิจารณาการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและคณะรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไม่กี่วัน จากนั้นจะมีการลงนามสัญญาในอีก 2 สัปดาห์ และปิดดีลสมบูรณ์ภายในระยะเวลา 90 วัน เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางกฎหมาย
รัฐบาลจะได้รับเงินสดทันทีประมาณ 1 หมื่นล้านรูปี และยังคงถือหุ้นส่วนที่เหลืออีก 25% (มูลค่าราว 4.5 หมื่นล้านรูปี) ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวเน้นไปที่การอัดฉีดเงินทุนใหม่เพื่อเสริมสภาพคล่อง มากกว่าจะเป็นเพียงการเปลี่ยนมือเจ้าของ
นอกจากนี้ กติกาเปิดทางให้ผู้ซื้อเพิ่มหุ้นส่วนได้อีก 2 ราย (รวมถึงสายการบินต่างชาติ) หากมีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ ซึ่งการดึงพันธมิตรเพิ่มจะช่วยเสริมฐานการเงินและนำความเชี่ยวชาญด้านการบินระดับโลกมาพัฒนาองค์กร
รัฐบาลยังมีมาตรการป้องกันความเสี่ยง เช่น การยึดเงินวางประกันและการเรียกเก็บเงินเพิ่มเติมเมื่อเซ็นสัญญา เพื่อให้รัฐบาลสามารถหันไปเจรจากับผู้เสนอราคาอันดับสองได้ทันทีหากการปิดดีลกับรายแรกมีปัญหา
ส่วนเรื่องการดูแลพนักงาน ผู้ซื้อต้องจ้างพนักงานเดิมต่ออย่างน้อย 12 เดือนโดยไม่เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในสัญญาจ้าง ทั้งนี้จำนวนพนักงานของ PIA ลดลงไปมากแล้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
การปิดดีล PIA จะเป็นสัญญาณบวกที่แสดงถึงความก้าวหน้าในการปฏิรูปประเทศ และรัฐบาลกำลังเตรียมแผนแปรรูปรัฐวิสาหกิจแห่งอื่น ๆ ต่อไปทันที
ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กำลังจับตาดูการขายกิจการครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากที่ผ่านมาได้เร่งรัดให้ปากีสถานยุติภาระการแบกรับผลขาดทุนจากรัฐวิสาหกิจ ดีลนี้คือบททดสอบความตั้งใจในการปฏิรูปประเทศต่อ IMF เพราะหากล้มเหลวในการโอนย้ายกิจการที่ขาดทุนออกไป ภาระการคลังของประเทศจะกลับมาวิกฤตอีกครั้ง