ออสเตรเลียถือเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกแร่ยูเรเนียมมากที่สุดในโลกรายหนึ่ง โดยมีทรัพยากรยูเรเนียมคิดเป็น 33% ของทั้งโลก
"แม้ว่า อุตสาหกรรมยูเรเนียมจะมีการชะลอตัวลงบางส่วน แต่ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ 2 ประการของพลังงานนิวเคลียร์ยังไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งในเรื่องของความต้องการพลังงานที่สูงขึ้นจากประชากรที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น และความจำเป็นในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก" นายเกรย์ระบุ
เขากล่าวว่า ออสเตรเลียมีสถานะที่แข็งแกร่งในการขยายขีดโอกาสเหล่านี้ ในอีก 2 ทศวรรษข้างหน้า คาดว่า จีนและอินเดียจะมีเตาปฏิกรณ์เปิดดำเนินงาน 35 เตา
"ด้วยความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งกับประเทศเหล่านี้ ออสเตรเลียจึงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการทำกำไรจากผลิตยูเรเนียมให้กับประเทศเหล่านี้" เขากล่าว
ขณะเดียวกัน ออสเตรเลียยังผลิตแร่ยูเรเนียมให้แก่จีน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 22% ของยูเรเนียมของจีนทั้งหมด ส่วนการเจรจาเรื่องข้อตกลงด้านความปลอดภัยทางนิวเคลียร์กับอินเดียนั้น อยู่ในระหว่างการดำเนินการ ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะปูทางสู่การส่งออกที่สำคัญในอนาคต
"รัฐบาลออสเตรเลียได้ดำเนินขั้นตอนต่างๆเพื่อปรับปรุงการเข้าถึงตลาดต่างประเทศอื่นๆ ในปี 2553 เราได้ลงนามข้อตกลงกับรัสเซียเพื่อผลิตยูเรเนียมให้โรงงานนิวเคลียร์พลเรือน การส่งออกล็อตแรงเกิดขึ้นปีที่แล้ว" นายเกรย์กล่าวเสริม
นายเกรย์ยังแนะนำให้อุตสาหกรรมยูเรเนียมเริ่มเจาะสำรวจผิวดินชั้นแมนเทิล "เราอยากให้ภาคอุตสาหกรรมมุ่งมั่นในการพัฒนาเหมืองแร่ใหม่ๆยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าการผลิตยูเรเนียมสอดคล้องกับความต้องการโลก เนื่องจากอุปสงค์มีแนวโน้มว่า จะแซงหน้าอุปทานในปีหน้าอย่างเร็ว"
เขายังยืนยันว่า รัฐบาลออสเตรเลียจะดำเนินการอย่างจริงจังผ่านสภายูเรเนียม เพื่อปรับปรุงเงื่อนไขข้อบังคับ อำนวยความสำดวกให้แก่การพัฒนาเศรษฐกิจของอุตสาหกรรม และจูงใจให้เกิดการลงทุนใหม่ๆและการขยายการลงทุน สำนักข่าวซินหัวรายงาน