อุปสงค์ทองคำในช่วงเดือนเม.ย.- มิ.ย. รวมทั้งหมดอยู่ที่ 964 ล้านตัน ปรับตัวลง 16% จากระดับ 1,148 ตันในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งนับเป็นปริมาณรายไตรมาสที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
ขณะที่อุปสงค์ทองคำของจีนและอินเดียในช่วงไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ 193 และ 204 ตัน ตามลำดับ
โดยสภาทองคำโลกเผยว่า อุปสงค์ทองคำในจีนร่วงลง 52% ในไตรมาสที่ 2 พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า อุปสงค์ทองคำในจีนจะอยู่ระหว่าง 900-1,000 ตันในปีนี้ ปรับตัวลงจาก 1,275 ตันในปีที่ผ่านมา ขณะที่อินเดียจะซื้อทองคำประมาณ 850-900 ตัน ซึ่งลดลงจากระดับ 975 ตันในปีที่ผ่านมา
อุปสงค์ทองคำที่ร่วงลงเมื่อเทียบเป็นรายปีมีสาเหตุมาจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล โดยการปราบปรามการคอร์รัปชั่นในจีนทำให้ผู้มีฐานะร่ำรวยไม่กล้าแสดงออกถึงความมั่งคั่ง ขณะที่รัฐบาลอินเดียได้ใช้นโยบายคุมเข้มการนำเข้าทองคำ หลังจากอินเดียประสบภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางในหลายประเทศได้ซื้อทองคำสุทธิ 118 ตัน เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว โดยธนาคารกลางรัสเซีย และคาซัคสถานเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุด ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า กลุ่มประเทศเกิดใหม่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากอิทธิพลของสกุลเงินดอลลาร์
สภาทองคำโลกยังเผยว่า การลงทุนในทองคำปรับตัวขึ้น 4% ในไตรมาสที่ 2 แตะที่ 235 ตัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นักลงทุนต้องการซื้อกองทุน ETF เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ราคาทองคำที่ดิ่งลงในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ทำให้ผู้บริโภคในเอเชียแห่ซื้อทองคำในราคาถูกลงเป็นจำนวนมาก ทำให้ประเทศจีนซื้อทองคำปริมาณสูงที่สุดแซงหน้าอินเดีย