World Today: สรุปข่าวต่างประเทศประจำวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 29, 2018 17:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียเปิดเผยว่า นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ มีกำหนดพบปะหารือกัน นอกรอบการประชุม G20 ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ที่ประเทศอาร์เจนตินา โดยผู้นำรัสเซียและสหรัฐจะหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในด้านต่างๆ ซึ่งรวมถึงประเด็นซีเรีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ

-- ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้เปิดเผยรายงาน "EU Withdrawal Report" เมื่อวานนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจของอังกฤษมีแนวโน้มอ่อนแอลง ไม่ว่าอังกฤษจะถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) แบบไร้ซึ่งข้อตกลง หรือสามารถทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจกับ EU ได้ก็ตาม

รายงานของ BoE ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอังกฤษอาจจะหดตัวลง 7.75%-10.5% ภายในสิ้นปี 2566 เมื่อเทียบกับแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2559 ในกรณีที่อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปแบบแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและไม่ประนีประนอม (Hard Brexit) หากอังกฤษสามารถทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจกับ EU ได้ GDP จะหดตัวราว 1.25%-3.75%

-- สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐอยู่ที่ระดับ 11.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งทำสถิติสูงสุดติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3

ส่วนยอดนำเข้าและส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้วเช่นกัน โดยยอดนำเข้าน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 8.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน พุ่งขึ้น 608,000 บาร์เรลต่อวันจากสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยอดนำเข้าน้ำมันดิบอยู่ที่ 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 0.8% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว

-- นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้า เมื่อบรรดาผู้นำจากทั่วโลกเตรียมเข้าประชุมสุดยอดในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ที่ประเทศอาร์เจนตินา

นอกจากนี้ นายกูเตอร์เรสยังย้ำอีกว่า การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ซึ่งมีการกำหนดเป้าหมาย 17 ข้อและมุ่งบรรลุผลปี 2573 เช่นยุติความยากจนนั้น จะเป็นไปไม่ได้ถ้าหากไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมกัน

-- นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า สหรัฐจะพิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากจีน สู่ระดับ 40% จากปัจจุบันที่ระดับ 27.5% ก่อนที่การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐจะมีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ที่อาร์เจนตินา

นายไลท์ไฮเซอร์กล่าวว่า "นโยบายต่างๆของจีนถือว่าเลวร้ายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์" พร้อมกับกล่าวว่า "ตามคำสั่งของท่านประธานาธิบดี ผมจะตรวจสอบเครื่องมือที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากจีนในอัตราที่เท่าเทียมกัน"

"เมื่อพิจารณาจากความแข็งกร้าวของจีนแล้ว จะเห็นได้ว่า นโยบายต่างๆด้านอุตสาหกรรมที่รัฐบาลจีนเป็นผู้บังคับใช้นั้น กำลังสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อแรงงานและกลุ่มผู้ผลิตของสหรัฐ เราจึงต้องหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดคุยกับจีน แต่ถึงกระนั้น จีนก็ยังไม่เคยหันหน้าเจรจาเพื่อนำเสนอการปฏิรูปที่มีนัยสำคัญ" นายไลท์ไฮเซอร์กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ