World Today: สรุปประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 8 สิงหาคม 2562

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday August 8, 2019 09:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบ 22.45 จุด หรือ 0.09% เมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ปิดขยับลงเพียงเล็กน้อย ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวก หลังจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนักในระหว่างวัน และจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐดีดตัวขึ้นในช่วงท้ายของการซื้อขาย หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักในช่วงแรกและเป็นเหตุให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย

-- จีนกำหนดอัตราค่ากลางเงินหยวนในวันนี้ที่ระดับ 7.0039 หยวนต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2551

China Foreign Exchange Trading System (CFETS) ระบุว่า อัตราค่ากลางของสกุลเงินหยวนในวันนี้อยู่ที่ระดับ 7.0039 หยวนต่อดอลลาร์ ลดลง 0.43%

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศของจีนนั้น เงินหยวนได้รับอนุญาตให้ปรับตัวขึ้นหรือลงไม่เกิน 2% จากอัตราค่ากลางของการซื้อขายแต่ละวัน

ทั้งนี้ อัตราค่ากลางสกุลเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อิงกับราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก ก่อนที่ตลาดจะเปิดทำการซื้อขายในแต่ละวัน

-- สำนักข่าวเกียวโดรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ญี่ปุ่นจะอนุญาตให้มีการส่งออกเคมีภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และจอแสดงผลไปยังเกาหลีใต้ โดยนับเป็นครั้งแรกหลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกมาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าดังกล่าวไปยังเกาหลีใต้เมื่อเดือนที่แล้ว

อย่างไรก็ดี รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดว่า บริษัทที่จะสามารถส่งออกเคมีภัณฑ์จำพวก fluorinated polyimide, hydrogen fluoride และ photoresist ไปยังเกาหลีใต้ได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ยื่นเอกสารแจ้งความจำนงในการทำธุรกรรมแต่ละรายการในวันที่ 4 ก.ค.เท่านั้น

-- รัฐบาลสหรัฐได้ยกระดับคำเตือนเกี่ยวกับกับการเดินทางไปยังฮ่องกง โดยเรียกร้องให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการเดินทางไปยังฮ่องกง เนื่องจากขณะนี้ได้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ หลังจากมีการชุมนุมประท้วงตามท้องถนนเป็นเวลานานหลายเดือนจนนำไปสู่สถานการณ์รุนแรง

สถานกลสุลสหรัฐประจำเขตปกครองพิเศษฮ่องกงและมาเก๊ษได้ออกแถลงการณ์บนเว็บไซต์ว่า "การประท้วงและการเผชิญหน้ากันซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านนั้น ได้ลุกลามไปไกลเกินขอบเขตที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้อนุญาต และคาดว่าการประท้วงจะยังคงดำเนินต่อไปอีก ทางสถานกงสุลจึงได้เพิ่มระดับคำเตือนในการเดินทางไปยังฮ่องกงขึ้นสู่ระดับที่ 2 จากทั้งหมด 4 ระดับ

-- หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ตัดสินใจทำสงครามการค้ากับจีน ไดยไม่ได้สนใจต่อเสียงทักท้วงของที่ปรึกษาในทำเนียบขาว

อย่างไรก็ดี นายแลร์รี่ คุดโลว์ หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อกรณีที่ว่า เขาและที่ปรึกษาคนอื่นๆไม่เห็นด้วยกับปธน.ทรัมป์ในการทำสงครามการค้ากับจีน

ด้าน Politico ซึ่งเป็นสื่อสหรัฐที่เน้นเจาะข่าวการเมือง รายงานว่า บรรดาที่ปรึกษากำลังโน้มน้าวปธน.ทรัมป์ให้พุ่งความสนใจไปที่การทำให้เศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง แม้จะต้องแลกมาด้วยการยอมอ่อนข้อให้จีนในเรื่องการทำสงครามการค้า และลดการวิพากษ์วิจารณ์ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

-- หนังสือพิมพ์ไชน่า ซิเคียวริตีส์ เจอร์นัล ในสังกัดสำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ขณะนี้รัฐบาลจีนกำลังร่างมาตรการใหม่เพื่อกระตุ้นการค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการทำสงครามการค้ากับสหรัฐ

รายงานข่าวระบุว่า มาตรการดังกล่าวยังรวมถึงการปรับปรุงรายการเทคโนโลยีที่จีนสมควรนำเข้าเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจจีน รวมถึงการขยายขอบข่ายอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน และเปิดตัวเขตสาธิตการนำเข้าในพื้นที่ใหม่ ๆ

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังสอดคล้องกับรายงานข่าวเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า คณะรัฐมนตรีจีนได้ตัดสินใจที่จะกำหนดมาตรการเพิ่มเติม เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับภาคธุรกิจการค้าต่างประเทศ

-- ทำเนียบขาวเตรียมออกคำสั่งแบนบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยีครั้งใหม่ โดยจะห้ามหน่วยงานของภาครัฐทำธุรกิจกับทางบริษัท โดยถือเป็นข้อห้ามเพิ่มเติมจากเดิมที่มีคำสั่งห้ามภาคเอกชนทำธุรกิจกับบริษัท

ทั้งนี้ ทำเนียบขาวจะออกคำสั่งมิให้หน่วยงานรัฐบาลซื้อเครื่องมือและวิดีโอด้านการสื่อสาร รวมทั้งใช้บริการของหัวเว่ย ตามกฎหมายที่ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 13 ส.ค.

คำสั่งดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อบริษัทสื่อสารอีกหลายแห่ง เช่น ZTE และ Hikvision นอกเหนือจากหัวเว่ย

นอกจากนี้ กฎหมายฉบับดังกล่าวยังกำหนดเส้นตายในเดือนส.ค.2563 ซึ่งจะระบุให้ผู้รับช่วงสัญญาของรัฐบาลกลางสหรัฐห้ามทำธุรกิจกับหัวเว่ย

-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความเมื่อคืนนี้ เรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้ตามทันธนาคารกลางแห่งอื่นๆทั่วโลก

"พวกเขาต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้มากกว่านี้ และเร็วกว่านี้ และยุติมาตรการคุมเข้มเชิงปริมาณเดี๋ยวนี้ เราไม่สามารถรอได้อีกต่อไป โดยปัญหาของเราไม่ใช่จีน แต่เป็นเฟดที่เย่อหยิ่งเกินกว่าจะยอมรับความผิดพลาดของพวกเขาในการใช้มาตรการคุมเข้มเร็วเกินไป และมากเกินไป ซึ่งในวันนี้ มีธนาคารกลางอีก 3 แห่งที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย มันจะเป็นเรื่องง่ายขึ้นถ้าเฟดมีความเข้าใจว่าเรากำลังแข่งขันกับประเทศอื่น" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ

ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความดังกล่าว หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดิ่งลงในวันนี้ ขณะที่ค่าสเปรดระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน และ 10 ปีอยู่ในช่วงกว้างมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2550 ซึ่งขณะนั้นเศรษฐกิจสหรัฐกำลังประสบปัญหาวิกฤตการเงิน

-- สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 8 สัปดาห์ โดยเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลง 2.8 ล้านบาร์เรล

EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 4.4 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1 ล้านบาร์เรล

นอกจากนี้ สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 1.53 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 480,000 บาร์เรล

-- รัฐบาลปากีสถานตัดสินใจลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับอินเดีย เพื่อตอบโต้ต่อการที่อินเดียประกาศยกเลิกสถานะพิเศษของแคว้นแคชเมียร์

ทั้งนี้ ปากีสถานได้แจ้งข้าหลวงใหญ่ของอินเดียประจำกรุงอิสลามาบัดให้เดินทางออกจากประเทศ และได้เรียกตัวข้าหลวงใหญ่ของปากีสถานให้เดินทางออกจากกรุงนิวเดลีของอินเดีย

นอกจากนี้ ปากีสถานยังได้ระงับการทำการค้าทวิภาคีกับอินเดีย

-- สำนักงานสถิติแห่งชาติอินโดนีเซียเปิดเผยว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซียมีการขยายตัว 5.05% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่การส่งออกและการลงทุนยังคงมีความอ่อนแอ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ดี การบริโภคของภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น 5.2% สูงกว่าระดับ 5.0% ในไตรมาสแรก ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น 9.61% หลังจากหดตัวในไตรมาสแรก

ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะขยายตัว 5.3% ในปีนี้ และ 5.2-5.5% ในปีหน้า หลังจากที่เติบโต 5.17% ในปีที่แล้ว

-- สภาหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเปิดเผยว่า บริษัทญี่ปุ่นที่มีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมีความเชื่อมั่นลดลงถึงขั้นติดลบ เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี

ทั้งนี้ ดัชนี diffusion index สำหรับเดือนม.ค.-มิ.ย. ร่วงลง 26 จุด แตะระดับ -8 โดยดัชนีดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 0 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2558 ซึ่งขณะนั้นดัชนีแตะระดับ -4

นายอัตซูชิ ทาเกตานิ ผู้อำนวยการฝ่ายสำรวจ และผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) กล่าวว่า การทรุดตัวของดัชนี diffusion index มีสาเหตุจากการแข็งค่าของบาท, เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว และการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

-- องค์กรต่างๆกำลังกดดันให้วอลมาร์ทยกเลิกการขายอาวุธ และปืนในร้าน หลังจากเกิดเหตุกราดยิงหลายครั้ง ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก

ทั้งนี้ วอลมาร์ทได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังเกิดเหตุการณ์รุนแรงในสหรัฐ โดยนอกจากจะเป็นห้างค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐแล้ว วอลมาร์ทยังเป็นผู้จำหน่ายอาวุธปืนรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐเช่นกัน

Guns Down America ซึ่งเป็นองค์กรต่อต้านการครอบครองปืนในสหรัฐ แถลงว่า เหตุกราดยิงในวอลมาร์ท ทำให้วอลล์มาร์ทต้องออกมาเป็นผู้นำในการรณรงค์ต่อต้านการครอบครองอาวุธปืน

นอกจากนี้ องค์กร Moms Demand Action for Gun Sense in America ก็ได้เรียกร้องให้วอลมาร์ทยกเลิกการอนุญาตให้ลูกค้าพกปืนเข้าห้าง ขณะที่ร้านค้าหลายแห่ง เช่น ทาร์เก็ต และสตาร์บัคส์ ต่างก็มีนโยบายดังกล่าว

-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีกำหนดการเปิดเผยวันนี้ ได้แก่ เผยยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนก.ค.ของจีน และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ รวมถึงสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมิ.ย. ของสหรัฐ

ส่วนในวันพรุ่งนี้ จะมีการเปิดเผยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2562 ของญี่ปุ่นและอังกฤษ รวมถึงดุลการค้าเดือนมิ.ย.ของอังกฤษและเยอรมนี ในขณะที่จีนเตรียมเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค. ฝรั่งเศสเตรียมเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. และสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ