ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ม.ค.) โดยได้ปัจจัยบวกจากความหวังที่ว่า รัฐบาลสหรัฐชุดใหม่ภายใต้การนำของนายโจ ไบเดน จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งจะช่วยหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นในปีนี้ อย่างไรก็ดี ตลาดปรับตัวในกรอบแคบๆ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐจะส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นด้วย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการซื้อสินทรัพย์
-- ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) แถลงว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมดิ่งลงสู่ระดับ 95.9 ในเดือนธ.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 100.0 จากระดับ 100.9 ในเดือนพ.ย.
ทางด้านสำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงานลดลง 105,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 6.527 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ย.
-- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือนเมื่อคืนนี้ ขานรับคาดการณ์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ
ณ เวลา 01.08 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 1.16% หลังจากแตะระดับ 1.174% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค.2563 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.894% หลังจากแตะระดับ 1.904% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 เช่นกัน
การดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐได้ปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของนายโจ ไบเดนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่เพื่อเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19
-- นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ ได้แจ้งนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเมื่อคืนนี้ว่า เขาจะไม่ถอดถอนปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ซึ่งความเคลื่อนไหวของนายเพนซ์มีขึ้นเพียงไม่นานก่อนที่สภาผู้แทนฯจะลงมติเพื่อเรียกร้องให้นายเพนซ์และคณะรัฐมนตรี ใช้บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 25 (25th Amendment) เพื่อปลดปธน.ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง
จดหมายที่นายเพนซ์ส่งถึงนางเพโลซีระบุว่า "ผมไม่เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติของเรา หรือสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญของเรา"
ทั้งนี้ กระบวนการถอดถอนปธน.ทรัมป์ออกจากตำแหน่งเกิดขึ้นจากข้อกล่าวหาที่ว่า ปธน.ทรัมป์ได้ยุยงปลุกปั่นให้กลุ่มผู้สนับสนุนของเขาบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพื่อขัดขวางกระบวนการประกาศรับรองชัยชนะของนายโจ ไบเดนในการเลือกตั้งประธานาธิบดี
-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวเมื่อวานนี้ว่า การถอดถอนเขาออกจากตำแหน่ง เป็นเรื่องที่อันตรายสำหรับสหรัฐ ขณะที่สร้างความไม่พอใจต่อชาวอเมริกันจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาไม่ต้องการให้มีความรุนแรงเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยืนยันว่า สิ่งที่เขากล่าวก่อนที่กลุ่มผู้สนับสนุนเขาจะบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ไม่มีเนื้อหาที่ยั่วยุแต่อย่างใด
"คนมากมายมองว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นเรื่องที่เหมาะสม" ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าว ก่อนเดินทางไปยังรัฐเท็กซัส
-- Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้อยู่ที่ 92,005,066 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1,969,995 ราย
สหรัฐมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุดในโลก (23,368,225) รองลงมาคืออินเดีย (10,495,816), บราซิล (8,195,637), รัสเซีย (3,448,203), สหราชอาณาจักร (3,164,051), ฝรั่งเศส (2,806,590), ตุรกี (2,346,285), อิตาลี (2,303,263) และสเปน (2,137,220)
นอกจากนี้ สหรัฐยังเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงสุดในโลก (389,599) ตามมาด้วยบราซิล (204,726), อินเดีย (151,564), เม็กซิโก (135,682) และสหราชอาณาจักร (83,203)
-- เจ้าหน้าที่อังกฤษต้องทำการสร้างที่เก็บศพชั่วคราวในหลายเมือง เช่น กรุงลอนดอน, เมืองซูรีย์ และเมืองเคนท์ เนื่องจากห้องเก็บศพในโรงพยาบาลไม่มีที่ว่างที่จะรองรับร่างของผู้เสียชีวิตที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
การพุ่งขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อในอังกฤษมีสาเหตุจากการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้การแพร่ระบาดรวดเร็วขึ้น 70%
-- นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) แสดงความวิตก หลังมีการพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่ญี่ปุ่นที่มีความแตกต่างจากสายพันธุ์อังกฤษและแอฟริกาใต้
นายแพทย์ทีโดรสกล่าวว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวจะสร้างปัญหาได้อย่างมาก ขณะที่ระบบสาธารณสุขทั่วโลกกำลังเผชิญภาวะวิกฤตในขณะนี้
"หากไวรัสมีการแพร่ระบาดมากขึ้น ก็จะมีโอกาสกลายพันธุ์ได้มากขึ้น" นายแพทย์ทีโดรสกล่าว
-- นายโยชิฮิเดะ ซูงะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวเมื่อวานนี้ว่า รัฐบาลอาจประกาศภาวะฉุกเฉินในจังหวัดโอซากา เกียวโต เฮียวโงะ ไอจิ และกิฟุ ในวันนี้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องของไวรัสโควิด-19
ก่อนหน้านี้ นายซูงะได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุงโตเกียว รวมถึงจังหวัดคานากาวะ ชิบะ และไซตามะ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยมีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 7 ก.พ.
-- รัฐบาลอินเดียแถลงว่า วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 จะมีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิต้านทานในร่างกาย หลังจากที่มีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นเวลา 14 วัน
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขของอินเดียเปิดเผยว่า รัฐบาลอินเดียกำลังดำเนินโครงการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ โดยจะมีการฉีดวัคซีนคนละ 2 เข็ม ซึ่งเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 จะมีระยะเวลาห่างกัน 28 วัน และวัคซีนจะมีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิต้านทานในร่างกาย หลังจากที่มีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นเวลา 14 วัน
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ระบุว่า หลังจากที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ประชาชนก็ยังคงจะต้องใช้ความระมัดระวังในการดำเนินชีวิต โดยมีการใส่หน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19
-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจในวันนี้ อียูมีกำหนดเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย., สหรัฐจะเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค., สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) (เช้าวันที่ 14 ม.ค.)
ส่วนในวันพรุ่งนี้ เกาหลีใต้เตรียมเปิดเผยราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนธ.ค., ญี่ปุ่นมีกำหนดเปิดเผยยอดสั่งซื้อเครื่องจักรเดือนพ.ย. ในขณะที่จีนจะเปิดเผยยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนธ.ค., ยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เดือนธ.ค., ยอดขายรถเดือนธ.ค., ยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวนเดือนธ.ค. และสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ รวมถึงราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนธ.ค.