คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) ได้ลงมติเห็นชอบ 3 ต่อ 2 เสียง ในระหว่างการประชุมสาธารณะเมื่อวานนี้ (23 เม.ย.) เพื่ออนุมัติกฎแบนสัญญาห้ามลูกจ้างไปทำงานให้กับกิจการคู่แข่งหรือเปิดธุรกิจแข่งกับนายจ้าง (noncompete agreement) ซึ่งเป็นสัญญาที่พนักงานมักจะต้องเซ็นเพื่อเข้าทำงาน โดยทาง FTC ระบุว่าสัญญาดังกล่าวจำกัดโอกาสในการย้ายงานและเป็นการกดค่าแรง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า กฎดังกล่าวซึ่งเสนอครั้งแรกในเดือนม.ค. 2566 จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนส.ค.นี้
FTC กล่าวเมื่อวานนี้ว่า การแบนสัญญาห้ามแข่งขันจะช่วยให้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 4.88 แสนล้านดอลลาร์ตลอดช่วงทศวรรษหน้า และจะทำให้เกิดการสร้างธุรกิจใหม่มากกว่า 8,500 แห่งในแต่ละปี
นางลีนา ข่าน กล่าวระหว่างการประชุมว่า สัญญาห้ามแข่งขันไม่เพียงแต่จำกัดโอกาสของพนักงานเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานอื่น ๆ จากการขัดขวางไม่ให้พนักงานเปลี่ยนงาน
"การปล้นเสรีภาพทางเศรษฐกิจของประชาชนยังเป็นการปล้นเสรีภาพอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ปิดกั้นการแสดงออก ละเมิดกิจปฏิบัติทางศาสนาของประชาชน และขัดขวางสิทธิของประชาชนในการจัดตั้งเป็นองค์กร
อย่างไรก็ตาม กรรมาธิการของ FTC 2 คนจากพรรครีพับลิกัน ได้แก่ นางเมลิสซา โฮลีโอ๊ก และนายแอนดรูว์ เฟอร์กูสัน เห็นแย้งว่า กฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐไม่อนุญาตให้ FTC ใช้กฎกว้าง ๆ ที่ห้ามการกระทำที่ FTC เห็นว่าต่อต้านการแข่งขัน
"เราไม่ใช่สภานิติบัญญัติ ... ผมไม่เชื่อว่าเรามีอำนาจที่จะทำให้สัญญาหลายสิบล้านฉบับที่มีอยู่ในเวลานี้เป็นโมฆะ" นายเฟอร์กูสันกล่าว
ด้านกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้วิพากษ์วิจารณ์กฎดังกล่าว โดยระบุว่า สัญญาห้ามแข่งขันเป็นแนวทางสำคัญสำหรับบริษัทในการปกป้องความลับทางการค้าและส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน
นอกจากนี้ หอการค้าสหรัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ กล่าวในแถลงการณ์ว่า จะยื่นฟ้องร้องกฎของ FTC ดังกล่าวอีกด้วย
"การตัดสินใจครั้งนี้สร้างแบบอย่างการที่รัฐบาลเข้ามาบงการภาคธุรกิจ และอาจส่งผลเสียต่อนายจ้าง ลูกจ้าง และเศรษฐกิจของเรา" ซูซาน คลาร์ก ประธานและซีอีโอของหอการค้าสหรัฐ กล่าว
กฎดังกล่าวของ FTC จะกำหนดให้บริษัทต่าง ๆ ต้องยกเลิกสัญญาห้ามแข่งขันที่มีอยู่ และต้องแจ้งให้พนักงานปัจจุบันและอดีตพนักงานทราบว่าจะไม่มีการบังคับใช้สัญญาห้ามแข่งขันดังกล่าว ด้านนายดาริล โจเซฟเฟอร์ หัวหน้านักกฎหมายของฝ่ายฟ้องร้องคดีของหอการค้าสหรัฐ กล่าวในระหว่างการประชุมเมื่อวันจันทร์ (22 เม.ย.) ว่า การที่กฎดังกล่าวมีผลย้อนหลังยังอาจทำให้กฎเป็นโมฆะอีกด้วย
กฎดังกล่าวของ FTC ไม่ได้ยกเว้นตำแหน่งงานหรืออุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จะไม่มีผลบังคับใช้กับสัญญาห้ามแข่งขันที่มีอยู่แล้วที่ลงนามโดยผู้บริหารระดับสูง
ทั้งนี้ FTC ไม่ได้กำกับดูแลอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ธนาคารและบริษัทประกันภัยบางแห่ง และสายการบิน