บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมเปิดเผยว่า กำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 4.71 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ของแอลเอสอีจี (LSEG) คาดการณ์ไว้ที่ 4.32 ดอลลาร์ และรายได้อยู่ที่ 3.646 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.616 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ รายได้ในไตรมาส 1 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 27% จากระดับ 2.865 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 และเป็นการปรับตัวขึ้นรวดเร็วกว่าทุกไตรมาสนับตั้งแต่ปี 2564 ส่วนรายได้สุทธิในไตรมาส 1 พุ่งขึ้นกว่า 2 เท่าสู่ระดับ 1.237 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 5.71 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
สำหรับปัจจัยที่ทำให้รายได้สุทธิปรับตัวสูงขึ้นนั้น มาจากต้นทุนการขายและการทำตลาดลดลง 16% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566
อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นเมตาร่วงลง 11% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กในช่วงเช้าวันนี้ (25 เม.ย.) หลังจากเมตาเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด โดยบริษัทคาดการณ์ว่า ยอดขายในไตรมาส 2/2567 จะอยู่ในช่วง 3.65-3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยค่ากลางของกรอบคาดการณ์ดังกล่าวอยู่ที่ 3.775 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าการคาดการณ์เฉลี่ยของนักวิเคราะห์ซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.83 หมื่นล้านดอลลาร์
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า เมตาจะไม่มีการรายงานยอดผู้ใช้งานรายวัน (DAUs) และยอดผู้ใช้งานรายเดือน (MAUs) อีกต่อไป โดยนับจากนี้จะมีการเปิดเผยจำนวนผู้ใช้งานรวมทุกแพลตฟอร์มรายวัน (Family Daily Active People - DAP) โดยระบุว่า ในเดือนมี.ค.ปีนี้ DAP อยู่ที่ 3.24 พันล้านราย เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
ส่วนรายได้จากการโฆษณาซึ่งถือเป็นรายได้หลักของเมตานั้น พุ่งขึ้น 27% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 3.564 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ เมตาคาดการณ์ว่า การใช้จ่ายประเภททุน (Capex) ในปี 2567 จะอยู่ในช่วง 3.5-4.0 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.0-3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่เมตายังคงเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนโครงการปัญญาประดิษฐ์ (AI)