โยจิ มูโตะ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (30 พ.ค.) ว่า เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงบินร่วมประชุมพลังงานที่รัฐอะแลสกาของสหรัฐฯ ในต้นสัปดาห์หน้า และจับตาการหารือโครงการ Alaska LNG มูลค่า 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ผู้ที่จะเดินทางไปคือ ทาเคฮิโกะ มัตสึโอะ ปลัดกระทรวงฯ ด้านกิจการระหว่างประเทศ ซึ่งจะเข้าร่วมเวที Alaska Sustainable Energy Conference ระหว่างวันที่ 3-5 มิ.ย.นี้ ตามคำยืนยันของมูโตะ
เวทีประชุมนี้เปิดฉากขึ้นหนึ่งวันหลังวงเจรจาที่รัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นเจ้าภาพเชิญเจ้าหน้าที่จากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน มายังอะแลสกา เพื่อถกโครงการต่าง ๆ รวมถึงท่อส่งก๊าซขนาดมหึมา ท่ามกลางกระแสที่รัฐบาลหลายชาติในเอเชียกำลังชั่งน้ำหนักการลงทุนในสหรัฐฯ หวังแลกกับการผ่อนคลายกำแพงภาษีจากวอชิงตัน
ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า มัตสึโอะจะร่วมวงถกในวันที่ 2 มิ.ย.ด้วยหรือไม่ ซึ่งงานดังกล่าวมีหัวเรือใหญ่ด้านพลังงานของทรัมป์อย่าง ดั๊ก เบอร์กัม รัฐมนตรีมหาดไทย และคริส ไรท์ รัฐมนตรีพลังงาน นั่งเป็นเจ้าภาพ
มูโตะระบุว่า ญี่ปุ่นได้หารือกับสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องการก่อสร้างท่อส่งก๊าซและประเด็นอื่น ๆ พร้อมเสริมว่า "ผมคาดหวังว่าจะมีการหารือที่มีความหมายในครั้งนี้เช่นกัน"
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานในวันนี้ว่า JERA ผู้ซื้อ LNG รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ได้ยื่น "หนังสือแสดงความสนใจ" ให้กับ Glenfarne ในโครงการ Alaska LNG แล้ว โดย Glenfarne ถือเป็นพันธมิตรในการพัฒนาโครงการของ Alaska Gasline Development Corporation (AGDC) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
ด้านกระทรวงพลังงานเกาหลีใต้ก็แถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (29 พ.ค.) ว่า เตรียมส่งรัฐมนตรีช่วยว่าการด้านนโยบายพลังงาน พร้อมทีมเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม Alaska Sustainable Energy Conference เช่นกัน ท่ามกลางกระแสที่หลายชาติเอเชียกำลังเล็งลงทุนในโครงการ Alaska LNG
อย่างไรก็ตาม องค์กร Friends of the Earth Japan ออกมาคัดค้านเมื่อวันพฤหัสบดีว่า กว่า 150 กลุ่มทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลก ได้ร่วมกันส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เรียกร้องให้ญี่ปุ่นถอนตัวจากโครงการ Alaska LNG ที่มีต้นทุนมหาศาล
ฮิโรกิ โอซาดะ นักรณรงค์จาก Friends of the Earth Japan ชี้ว่า "สำหรับญี่ปุ่น โครงการ Alaska LNG ไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย บริษัทญี่ปุ่นเองยังต้องนำ LNG ที่ซื้อมาถึง 37% ไปขายต่อ เพราะจัดซื้อเกินความต้องการของประเทศไปมาก"
"แค่คิดจะเริ่มโครงการ LNG ใหม่ก็นับเป็นการตัดสินใจที่แย่มากแล้ว เมื่อดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่มันจะยิ่งเลวร้ายสุดขีด เพราะไม่เพียงซ้ำเติมปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้วิกฤตเกินรับไหว แต่ยังทำลายวิถีชีวิตชนพื้นเมืองและความหลากหลายทางชีวภาพในอะแลสกาอีกด้วย" โอซาดะกล่าว