ภาวะการซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT ในวันอังคาร (29 ก.ค.) สัญญาข้าวโพดและถั่วเหลืองร่วงลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 หลังพยากรณ์อากาศชี้ว่าสภาพอากาศในแถบมิดเวสต์จะเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ตอกย้ำความคาดหวังว่าสหรัฐฯ จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในปริมาณมาก ขณะที่สัญญาข้าวสาลีดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนจากแรงขายทางเทคนิค
ทั้งนี้ สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 3.00 เซนต์ หรือ -0.72% ปิดที่ 4.1100 ดอลลาร์/บุชเชล, สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 8.75 เซนต์ หรือ -1.62% ปิดที่ 5.2975 ดอลลาร์/บุชเชล และสัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 2.00 เซนต์ หรือ -0.20% ปิดที่ 10.0950 ดอลลาร์/บุชเชล
ปัจจัยกดดันหลักมาจากสภาพอากาศในเขต "คอร์นเบลท์" ที่คาดว่าอุณหภูมิจะเย็นลงและมีฝนตกเป็นช่วง ๆ ซึ่งเป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตของพืชผล ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) เมื่อค่ำวันจันทร์ (28 ก.ค.) ยิ่งสนับสนุนแนวโน้มดังกล่าว โดยประเมินคุณภาพข้าวโพดในเกณฑ์ดีถึงดีเยี่ยมที่ 73% ซึ่งยังคงเป็นระดับสูงสุดในช่วงเวลานี้ของปีนับตั้งแต่ปี 2559
ขณะเดียวกัน คุณภาพถั่วเหลืองถูกประเมินว่าอยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีเยี่ยมที่ 70% เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน และสวนทางกับการคาดการณ์ของตลาด
"เรากำลังจะมีผลผลิตล็อตใหญ่เข้ามา และยังไม่มีความเสี่ยงเรื่องสภาพอากาศเลย" เครก เทอร์เนอร์ โบรกเกอร์สินค้าโภคภัณฑ์จาก StoneX กล่าว พร้อมเสริมว่า "ตามปกติแล้ว ราคาสัญญามักจะถูกเทขายไปจนถึงสิ้นเดือนส.ค. เว้นแต่จะเกิดภัยแล้งหรือมีดีมานด์พุ่งสูงขึ้น ซึ่งเรายังไม่เห็นสัญญาณทั้งสองอย่างนั้น ราคาจึงมีแต่จะค่อย ๆ ปรับตัวลง"
ทั้งนี้ ตลาดกำลังจับตารายงานอุปทานและอุปสงค์จาก USDA ซึ่งมีกำหนดเผยแพร่วันที่ 12 ส.ค. เพื่อประเมินทิศทางผลผลิตให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ขณะที่ในด้านอุปสงค์ ประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังคงมีความไม่แน่นอน แม้เจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงหาทางขยายเวลาพักรบทางการค้าออกไป แต่ยังไม่มีความคืบหน้าที่สำคัญ และการตัดสินใจสุดท้ายขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ
นอกจากนี้ แหล่งข่าวในวงการค้าระบุว่า ความต้องการถั่วเหลืองจากจีนมีแนวโน้มลดลงในช่วงปลายปี เนื่องจากสต๊อกกากถั่วเหลืองในประเทศที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับความต้องการจากผู้ผลิตอาหารสัตว์ที่ซบเซา