สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (8 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าสหรัฐฯ จะผลิตน้ำมันลดลงในปีนี้ รวมทั้งข่าวที่ว่ากลุ่มฮูตีได้กลับมาก่อเหตุโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดงอีกครั้ง
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 40 เซนต์ หรือ 0.59% ปิดที่ 68.33 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 57 เซนต์ หรือ 0.82% ปิดที่ 70.15 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) คาดการณ์ว่า สหรัฐฯ จะผลิตน้ำมันในปริมาณ 13.37 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2568 ลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 13.42 ล้านบาร์เรล/วัน และคาดว่าการผลิตน้ำมันในปี 2569 จะอยู่ที่ 13.37 ล้านบาร์เรล/วัน ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิม
ส่วนสถานการณ์ในทะแลดงนั้น รายงานระบุว่า กลุ่มฮูตีได้ก่อเหตุโจมตีเรือบรรทุกสินค้า "Eternity C" ของไลบีเรียด้วยโดรนและเรือเร็วบริเวณนอกชายฝั่งเยเมน ส่งผลให้ลูกเรือสินค้าลำดังกล่าวเสียชีวิต 3 คน ซึ่งเป็นการโจมตีครั้งที่สองที่เกิดขึ้นภายในวันเดียว หลังจากที่เหตุการณ์ในทะเลแดงอยู่ในความสงบเป็นเวลาหลายเดือน
ทั้งนี้ การโจมตีในทะเลแดงทำให้เรือบรรทุกน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และผลิตภัณฑ์พลังงานอื่น ๆ ต้องเดินทางไกลขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนพลังงานปรับตัวสูงขึ้น
นักวิเคราะห์บางรายกล่าวว่า ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อคืนเพื่อปิดสถานะชอร์ต (short-covering) ทางเทคนิค หลังจากราคาน้ำมันเบรนท์มีการซื้อขายสูงกว่าระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญทั้งทางจิตวิทยาและทางเทคนิค
นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 2.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว