สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลดลงกว่า 1% ในวันศุกร์ (21 พ.ย.) และปิดต่ำสุดในรอบ 1 เดือน หลังสหรัฐฯ เดินหน้าผลักดันข้อตกลงสันติภาพรัสเซียยูเครน ซึ่งอาจเพิ่มอุปทานน้ำมันโลก ขณะที่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ สกัดกั้นความต้องการเสี่ยงของนักลงทุน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 94 เซนต์ หรือ 1.59% ปิดที่ 58.06 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 82 เซนต์ หรือ 1.29% ปิดที่ 62.56 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งสองสัญญาน้ำมันดิบร่วงลงราว 3% ในสัปดาห์นี้ และปิดตลาดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค.
บรรยากาศการลงทุนซบเซาลง หลังสหรัฐฯ เดินหน้าผลักดันแผนสันติภาพระหว่างยูเครนและรัสเซียเพื่อยุติสงครามที่ยืดเยื้อมานาน 3 ปี ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรต่อบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซียอย่าง Rosneft และ Lukoil มีผลบังคับใช้ในวันศุกร์
โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนเตือนว่า ยูเครนอาจเสี่ยงสูญเสียศักดิ์ศรีและเสรีภาพ หรือแม้แต่การสนับสนุนจากสหรัฐฯ หากยอมรับแผนสันติภาพดังกล่าว ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า ยูเครนควรตอบรับภายในหนึ่งสัปดาห์
ด้านประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียกล่าวว่า สหรัฐฯ นำเสนอข้อเสนอที่สามารถใช้เป็นพื้นฐานในการยุติความขัดแย้งได้ แต่หากยูเครนปฏิเสธ กองทัพรัสเซียจะรุกคืบต่อไป
ข้อตกลงสันติภาพอาจเปิดทางให้รัสเซียส่งออกเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น โดยในปี 2567 รัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับสองของโลกรองจากสหรัฐฯ ตามข้อมูลของหน่วยงานด้านพลังงานสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า การเจรจาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่มาตรการคว่ำบาตรต่อบริษัทน้ำมันรายใหญ่สองแห่งของรัสเซียกำลังจะมีผลบังคับใช้นั้น ทำให้ตลาดน้ำมันคลายความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านอุปทานจากรัสเซียบางส่วน
อย่างไรก็ตาม โอกาสบรรลุข้อตกลงยังคงอีกไกล โดยนักวิเคราะห์ของ ANZ ระบุว่า ข้อตกลงยังห่างไกลจากความแน่นอน โดยชี้ว่า ยูเครนปฏิเสธข้อเรียกร้องของรัสเซียซ้ำแล้วซ้ำเล่า และตลาดยังเริ่มสงสัยว่า มาตรการจำกัดล่าสุดต่อบริษัท Rosneft และ Lukoil จะมีประสิทธิภาพหรือไม่
ดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นซึ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันราคาน้ำมัน เนื่องจากทำให้น้ำมันซึ่งซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์มีราคาสูงขึ้นสำหรับผู้ซื้อทั่วโลกจำนวนมาก
ด้านอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ นั้นยังไม่แน่นอน โดย ลอรี โลแกน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาดัลลัส เรียกร้องให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ "อีกระยะหนึ่ง" ขณะที่เฟดประเมินว่าต้นทุนการกู้ยืมระดับปัจจุบันฉุดเศรษฐกิจมากเพียงใด
ซูซาน คอลลินส์ ประธานเฟดสาขาบอสตันกล่าวว่า นโยบายการเงินอยู่ในจุดที่เหมาะสม ซึ่งสะท้อนว่า เธอยังไม่มั่นใจว่าควรลดอัตราดอกเบี้ยอีกในการประชุมเดือนหน้า
จอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กระบุว่า เฟดยังสามารถปรับลดดอกเบี้ย "ในระยะใกล้" ได้ โดยไม่เสี่ยงต่อเป้าหมายเงินเฟ้อ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอาจช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและความต้องการน้ำมัน
ส่วนความเคลื่อนไหวด้านเศรษฐกิจอื่น ๆ นั้น กิจกรรมการผลิตของสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. ชะลอลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน เพราะต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้ากดดันความต้องการซื้อ ทำให้สินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยถ่วงการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม