รัฐบาลออสเตรเลียประกาศในวันนี้ (30 ก.ค.) ว่า เตรียมนำ YouTube เข้าสู่บัญชีรายชื่อแพลตฟอร์มที่ถูกสั่งแบนสำหรับผู้ใช้งานที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี ซึ่งเป็นการพลิกการตัดสินใจเดิมที่เคยยกเว้นให้ และอาจจุดชนวนให้เกิดการฟ้องร้องทางกฎหมายกับบริษัทอัลฟาเบท (Alphabet) เจ้าของแพลตฟอร์ม
การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นหลังจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านอินเทอร์เน็ตของประเทศเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนมติเดิม โดยอ้างผลสำรวจที่บ่งชี้ว่า 37% ของผู้เยาว์เคยพบเห็นเนื้อหาที่เป็นอันตรายบนเว็บไซต์
นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี แถลงว่า "โซเชียลมีเดียต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม และเห็นได้ชัดว่าเยาวชนออสเตรเลียกำลังได้รับผลกระทบทางลบจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง" พร้อมให้คำมั่นว่า "ผมอยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองชาวออสเตรเลียมั่นใจได้ว่า เราพร้อมสนับสนุนและอยู่เคียงข้างพวกเขา"
ด้าน YouTube โต้แย้งว่าแพลตฟอร์มของตนไม่ใช่โซเชียลมีเดีย แต่เป็นแพลตฟอร์มแชร์วิดีโอ และการตัดสินใจครั้งนี้อาจสร้างความขัดแย้งระลอกใหม่ระหว่างออสเตรเลียกับอัลฟาเบทอีกครั้ง
การกลับลำของรัฐบาลครั้งนี้มีชนวนเหตุมาจากความเคลื่อนไหวในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลเคยประกาศว่าจะยกเว้น YouTube จากกฎหมายแบนโซเชียลมีเดียสำหรับวัยรุ่น เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่นิยมใช้ในการเรียนการสอน แต่การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ถูกแบนไปแล้วอย่าง Facebook, Instagram, Snapchat และ TikTok ซึ่งโต้แย้งว่า YouTube มีลักษณะคล้ายกับบริการของตน ทั้งการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้และระบบอัลกอริทึมแนะนำเนื้อหา
แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ได้เปลี่ยนไป เมื่อหน่วยงานกำกับดูแลด้านอินเทอร์เน็ตของออสเตรเลียเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนข้อยกเว้นดังกล่าว ในช่วงเวลาเดียวกัน YouTube ได้เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่าได้ทำหนังสือถึงรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้เคารพกระบวนการทางกฎหมาย ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า YouTube ขู่จะยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อคัดค้านคำสั่งแบน แม้ทาง YouTube ยังไม่ยืนยันข่าวดังกล่าว
สำหรับกฎหมายฉบับนี้ซึ่งผ่านสภาเมื่อเดือนพ.ย. ที่ผ่านมาระบุว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องใช้ "มาตรการที่สมเหตุสมผล" เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวออสเตรเลียอายุต่ำกว่า 16 ปีเข้าใช้งาน หากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับสูงสุด 49.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย
มาตรการแบนที่ขยายขอบเขตนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนธ.ค. นี้ ซึ่งรัฐบาลคาดว่าจะได้รับรายงานผลการทดสอบเทคโนโลยีตรวจสอบอายุภายในเดือนนี้ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการบังคับใช้กฎหมายต่อไป