รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เสนอเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมขึ้น 13% เป็น 1.01 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2569 โดยแจ้งต่อสภาคองเกรสว่า การเพิ่มงบครั้งนี้มีความจำเป็นเพื่อยับยั้งการรุกรานของจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
ขณะเดียวกันรัฐบาลทรัมป์เสนอให้ตัดงบประมาณรายจ่ายที่ไม่เกี่ยวกับกลาโหม (nondefense discretionary spending) ลงถึง 1.631 แสนล้านดอลลาร์สำหรับปีงบประมาณหน้าที่จะเริ่มในเดือนต.ค. โดยลดลง 22.6% จากระดับที่สภาอนุมัติไว้สำหรับปี 2568
การปรับลดงบประมาณที่เสนอไว้มีสาเหตุมาจากการยกเลิกความช่วยเหลือต่างประเทศ และโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา สิ่งแวดล้อม ตลอดจนความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม
ทำเนียบขาวระบุว่า การของบซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับด้านกลาโหมและเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2560 นั้น สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ในการลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นของหน่วยงานรัฐบาล และจัดการกับระบบราชการที่ใหญ่โตเกินไป
สำนักงานบริหารงบประมาณของรัฐบาล (Office of Management and Budget) ระบุว่า งบกลาโหมที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศ ฟื้นฟูอุตสาหกรรมกลาโหม และยับยั้งภัยคุกคามจากจีน โดยจะนำงบไปใช้ในโครงการต่าง ๆ เช่น การเพิ่มกำลังการผลิตเรือรบ การเสริมแสนยานุภาพด้านอวกาศและอาวุธนิวเคลียร์ และการพัฒนา F-47 ซึ่งเป็นเครื่องบินรบรุ่นที่ 6 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอเพิ่มงบให้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Department of Homeland Security) ขึ้นเกือบ 65% เป็น 1.074 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อตอบสนองนโยบายของทรัมป์ในการเสริมความมั่นคงชายแดนและการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การของบประมาณดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการให้ลำดับความสำคัญด้านการใช้จ่ายของทรัมป์ แต่ในสหรัฐฯ นั้น อำนาจในการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาลจะอยู่ที่ฝ่ายนิติบัญญัติในท้ายที่สุด