มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดประกาศเมื่อวันพุธ (14 พ.ค.) ว่า เตรียมใช้เงินทุนของมหาวิทยาลัยเองจำนวน 250 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือบรรดานักวิจัย หลังจากรัฐบาลทรัมป์สั่งระงับทุนสนับสนุนและสัญญาวิจัยจากรัฐบาลกลางมูลค่าเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์
ฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ในสหรัฐฯ มักตกเป็นเป้าโจมตีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อยู่บ่อยครั้ง โดยทรัมป์กล่าวหาว่า ฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยเอกชนอื่น ๆ ปลูกฝัง "อุดมการณ์ต่อต้านอเมริกา มาร์กซิสต์ และพวกซ้ายจัด" อีกทั้งยังวิพากษ์วิจารณ์ที่ฮาร์วาร์ดจ้างบุคลากรคนสำคัญ ๆ จากพรรคเดโมแครตมาร่วมงาน
ขณะนี้ ฮาร์วาร์ดกำลังดำเนินการฟ้องร้องรัฐบาลสหรัฐฯ โดยชี้ว่า การตัดงบประมาณสนับสนุน ซึ่งกระทบโดยตรงต่อการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ ถือเป็นการลิดรอนเสรีภาพทางวิชาการและขัดต่อรัฐธรรมนูญ
การประกาศตัดงบมีขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว ไม่นานหลังจากที่ดร.อลัน การ์เบอร์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ออกมาประณามอย่างเปิดเผยต่อข้อเรียกร้องมากมายของรัฐบาลทรัมป์ที่ต้องการให้มหาวิทยาลัยปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้บริหาร การเรียนการสอน กระบวนการรับนักศึกษา รวมถึงตรวจสอบทัศนคติของนักศึกษาและคณาจารย์
ดร.การ์เบอร์กล่าวว่า รัฐบาลกำลัง "ขัดขวางงานวิจัยที่ช่วยชีวิตผู้คน" และเรียกสถานการณ์นี้ว่า "เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างยิ่งยวด"
ก่อนหน้านี้ ฮาร์วาร์ดได้ประกาศระงับการจ้างงานใหม่เป็นการภายใน และตัวดร.การ์เบอร์เองก็สมัครใจลดเงินเดือนลง 25%
ฮาร์วาร์ดยอมรับว่า "ไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด" จากการระงับทุน (ซึ่งรัฐบาลประเมินไว้กว่า 2.6 พันล้านดอลลาร์) ได้ และกำลังช่วยเหลือนักวิจัยในการหาแหล่งเงินทุนอื่น ๆ พร้อมเตือนว่า การตัดงบครั้งนี้ "อาจส่งผลกระทบที่รุนแรงและยาวนาน" ต่องานวิจัยของประเทศ
นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังกล่าวหาฮาร์วาร์ดว่าใช้ปัจจัยด้านเชื้อชาติในการพิจารณารับนักศึกษา และปล่อยให้มีการแสดงออกถึงการต่อต้านชาวยิว (antisemitism) ที่เชื่อมโยงกับการประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ในพื้นที่มหาวิทยาลัย
ทางฮาร์วาร์ดยืนยันว่า กระบวนการรับนักศึกษาของตนเป็นไปตามกฎหมายของรัฐบาลกลาง และมหาวิทยาลัยดำเนินการอย่างจริงจังในการต่อสู้กับการต่อต้านชาวยิวและอคติในรูปแบบอื่น ๆ
ทั้งนี้ ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางได้มีคำสั่งให้รัฐบาลชี้แจงต่อคำฟ้องของฮาร์วาร์ดภายในวันที่ 9 มิ.ย. และกำหนดนัดไต่สวนในวันที่ 21 ก.ค.