รัฐบาลปากีสถานเตรียมเพิ่มงบประมาณกลาโหม 17% ในปีงบประมาณหน้า ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดกับอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะเอื้อต่อกลุ่มบริษัทผู้ผลิตอาวุธของจีน
ตามเอกสารที่กระทรวงการคลังเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (10 มิ.ย.) รัฐบาลจะเพิ่มงบประมาณกลาโหมแตะ 2.55 ล้านล้านรูปี (ประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นจาก 2.18 ล้านล้านรูปีในปีนี้ และถือเป็นงบรายจ่ายสูงสุดอันดับสองรองจากการชำระดอกเบี้ยหนี้
ความตึงเครียดระหว่างปากีสถานกับอินเดียเริ่มปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 22 เม.ย. หลังจากกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงก่อเหตุโจมตีในดินแดนแคชเมียร์ส่วนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของอินเดีย ส่งผลให้พลเรือนอินเดียเสียชีวิต 26 ราย โดยอินเดียกล่าวหาว่าปากีสถานอยู่เบื้องหลัง ขณะที่ปากีสถานปฏิเสธข้อกล่าวหาและเรียกร้องให้มีการสืบสวนอย่างเป็นกลาง
สถานการณ์ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นความขัดแย้งทางทหาร เมื่อทั้งสองฝ่ายเริ่มปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กันอย่างดุเดือดตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค. โดยต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ยั่วยุ กระทั่งตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 10 พ.ค.
ในเหตุการณ์ดังกล่าว ปากีสถานได้ออกมายกย่องความสำเร็จของเครื่องบินขับไล่รุ่น J-10C ของจีนที่ช่วยให้กองทัพยิงเครื่องบินขับไล่ของอินเดียตกจำนวน 6 ลำ ซึ่งรวมถึงเครื่องบินราฟาล (Rafale) ที่ผลิตในฝรั่งเศส 3 ลำ ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อเดิมที่ว่าอาวุธจีนว่าเป็นรองอาวุธตะวันตก ขณะที่อินเดียยืนยันเพียงสูญเสียเครื่องบินรบหลายลำ แต่ไม่ระบุจำนวนแน่ชัด
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปากีสถานเปิดเผยว่าจีนเสนอขายเครื่องบินขับไล่ J-35 รุ่นที่ห้าจำนวน 40 ลำ, เครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้าและควบคุมทางอากาศ KJ-500 รวมถึงระบบป้องกันขีปนาวุธ HQ-19
ข่าวการเพิ่มงบนี้ส่งผลให้หุ้นบริษัท AVIC Shenyang Aircraft Company ผู้ผลิตเครื่องบิน J-35 ทะยานขึ้นถึง 10% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้เมื่อวันจันทร์ (9 มิ.ย.) ขณะที่หุ้นบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกันพุ่งขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ ปากีสถานยังคงพึ่งพาอาวุธจากจีนเป็นหลัก โดยข้อมูลระหว่างปี 2562-2566 ระบุว่า อาวุธที่ปากีสถานนำเข้ามาจากจีนนั้นคิดเป็นสัดส่วน 82% ของทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 51% ในช่วงปี 2552-2555