ชาวต่างชาติกว่า 200 คนที่ได้รับการช่วยเหลือจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทางตะวันออกของเมียนมา ยังคงตกค้างอยู่ตามแนวชายแดนที่ติดกับประเทศไทย โดยกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ เปิดเผยวันนี้ (24 มิ.ย.) ว่ากำลังอยู่ระหว่างประสานงานเพื่อส่งตัวคนกลุ่มดังกล่าวกลับประเทศ
กองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNA) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่ เปิดเผยว่า ปัจจุบันกำลังให้ที่พักพิงแก่ผู้ประสบภัย 216 คน ซึ่งมีทั้งพลเมืองจากเวียดนาม จีน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยทางกลุ่มอ้างว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาได้ช่วยเหลือและส่งตัวชาวต่างชาติกว่า 8,000 คนจากศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่เมืองเมียวดีกลับประเทศแล้ว
"เรากำลังจัดหาอาหารและเวชภัณฑ์ให้พวกเขา บางคนถึงกับตั้งครรภ์ ซึ่งเราก็ได้ให้การดูแลสุขภาพด้วย" หน่าย หม่อง ซอ โฆษกของ KNA กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์
สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่ประเทศไทยได้มีมาตรการตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งเชื้อเพลิงไปยังพื้นที่ชายแดน 5 แห่งของเมียนมา รวมถึงเมืองเมียวดี มาตั้งแต่เดือนก.พ. เพื่อสกัดกั้นการดำเนินงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กลายเป็นภัยความมั่นคงในภูมิภาค ชาวบ้านในเมืองเมียวดี 2 คนยืนยันว่าไม่มีไฟฟ้าจากฝั่งไทยมานานหลายเดือน ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ รวมถึงศูนย์ของแก๊งต่าง ๆ ต้องพึ่งพาเครื่องปั่นไฟ
ด้านนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (23 มิ.ย.) ว่า รัฐบาลกำลังวางแผนที่จะลดการส่งไฟฟ้าไปยังฐานปฏิบัติการผิดกฎหมายในกัมพูชาเช่นกัน หลังพบว่าเครือข่ายอาชญากรรมได้ย้ายฐานจากเมียนมาไปยังกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศตึงเครียดขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกัมพูชาได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
สหประชาชาติระบุว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เครือข่ายอาชญากรรมได้ลักลอบค้ามนุษย์หลายแสนคนไปยังศูนย์ปฏิบัติการทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเหยื่อจะถูกบังคับให้ทำงานในขบวนการหลอกลวงออนไลน์ที่ผิดกฎหมาย ทั้งนี้ แรงกดดันจากนานาชาติให้ปราบปรามศูนย์เหล่านี้รุนแรงขึ้นหลังกรณีการลักพาตัว หวัง ซิง นักแสดงชายชาวจีนในไทยเมื่อเดือนม.ค. ก่อนที่ตำรวจไทยจะตามไปช่วยเหลือได้จากฝั่งเมียนมา
อนึ่ง สถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริการะบุว่า เครือข่ายอาชญากรรมซึ่งส่วนใหญ่มีต้นตอจากจีน เป็นที่ทราบกันว่าอยู่เบื้องหลังการดำเนินงานของศูนย์หลายแห่ง รวมถึงในพื้นที่เมียวดีด้วย