💥*นักวิเคราะห์มองไทยเจอปัญหาการเมือง,เศรษฐกิจรุมเร้า รัฐบาลอาจล้มใน 1-2 เดือน

นักวิเคราะห์มองว่าอนาคตของประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหา หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยุติการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 ก.ค.

โจชัว เคอร์แลนต์ซิก นักวิจัยอาวุโสฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้จาก Council of Foreign Relations กล่าวกับสำนักข่าว CNBC ว่า "ผมคิดว่าเธอไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นนายกฯ ได้อีก เพราะนี่คือความพยายามของทางกองทัพและพันธมิตรในการโค่นล้มตระกูลชินวัตร โดยเฉพาะทักษิณ"

แม้พรรคเพื่อไทยสามารถยื้ออำนาจจนถึงขณะนี้ แต่เคอร์แลนต์ซิกมองว่า รัฐบาลมีความเปราะบางมาก และอาจล่มสลายภายใน 1-2 เดือน เนื่องจากขณะนี้พรรคเพื่อไทยไม่ได้รับความนิยมอย่างมาก

ส่วนศรีปราณา บาเนอร์จี นักวิจัยจากมูลนิธิ Observer Research Foundation กล่าวกับ CNBC ว่า แม้น.ส.แพทองธารสามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่อำนาจของเธอและรัฐบาลผสมก็ยังคงมีความเปราะบาง

บาเนอร์จีระบุว่า หากรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ความสามารถของไทยในการรับมือต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากปัจจัยภายนอก เช่น ประเด็นภาษีศุลกากรจากสหรัฐก็จะถูกจำกัดอย่างมาก

"แม้รัฐบาลยังคงดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก แต่หากไม่มีผู้นำที่เข้มแข็ง ก็อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินนโยบาย และเกิดความซับซ้อนในการเจรจาการค้า""ความเชื่อมั่นของนักลงทุนอาจอ่อนแอลง และความล่าช้าในระบบราชการอาจชะลอการตอบสนองที่จำเป็น ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยต้องการทิศทางที่ชัดเจนและการประสานงานเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซา" บาเนอร์จีกล่าว

ส่วนพอล แกมเบิลส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน MBMG Group กล่าวในรายการ Squawk Box Asia ของสำนักข่าว CNBC ว่า เรื่องภาษีศุลกากรจากสหรัฐอาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่สุดของไทย แต่เป็นปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังปรากฏชัดขึ้น

"ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวจำนวนมากกำลังปรากฏขึ้นในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด" แกมเบิลส์กล่าว

ทั้งนี้ แม้ระดับหนี้ภาคครัวเรือนไทยได้ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี แต่สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ยังคงสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนภาคการท่องเที่ยวก็ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ลดลง 12% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และมีแนวโน้มว่าไทยจะพลาดเป้าหมายในการดึงดูดนักท่องเที่ยว 39 ล้านคนในปีนี้