สหภาพยุโรป (EU) บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียชุดที่ 18 ในวันนี้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการคว่ำบาตรที่แรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยครอบคลุมการปรับลดเพดานราคาน้ำมันดิบของรัสเซีย และขยายขอบเขตการคว่ำบาตรไปยังภาคส่วนสำคัญอื่น ๆ เพื่อลดขีดความสามารถในการทำสงครามของรัสเซียต่อยูเครน
เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เปิดเผยผ่านทางโซเชียลมีเดียว่า มาตรการนี้ "กำลังโจมตีหัวใจของเครื่องจักรสงครามของรัสเซีย" โดยมุ่งเป้าไปที่ภาคธนาคาร พลังงาน และอุตสาหกรรมทหาร พร้อมเสริมว่ามาตรการนี้รวมถึงการปรับลดเพดานราคาน้ำมัน แต่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ EU คนใดระบุชัดเจนถึงระดับของเพดานราคาใหม่
อย่างไรก็ดี สื่อต่างประเทศรายงานอ้างแหล่งข่าวทางการทูตว่า มาตรการใหม่นี้จะลดเพดานราคาน้ำมันดิบของรัสเซียจาก 60 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ราว 45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาด โดยมีจุดประสงค์เพื่อจำกัดรายได้จากการขายน้ำมันของรัสเซีย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจและงบประมาณที่ใช้ในการทำสงคราม
ทั้งนี้ นอกจากเพดานราคาน้ำมันแล้ว แพ็กเกจใหม่ยังครอบคลุมการคว่ำบาตร "กองเรือเงา" 105 ลำของรัสเซีย และผู้ที่เกี่ยวข้องในการอำนวยความสะดวก เพิ่มแรงกดดันทางการเงินต่อระบบธนาคารของรัสเซีย ห้ามใช้ท่อส่งก๊าซ Nord Stream 1 และ 2 ที่อยู่ใต้ทะเลบอลติก
นอกจากนี้ ครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ EU คว่ำบาตรโรงกลั่นน้ำมันในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นโรงกลั่นที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท Rosneft ผู้ผลิตน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรัสเซียด้วย
ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากสโลวาเกียประกาศพร้อมสนับสนุนแพ็กเกจนี้ หลังจากที่เคยใช้สิทธิยับยั้ง (Veto) มาแล้วถึง 6 ครั้ง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการยุติการพึ่งพาก๊าซรัสเซีย โดยนายกรัฐมนตรี โรเบิร์ก ฟิโก ของสโลวาเกีย ซึ่งยังคงพึ่งพาก๊าซรัสเซียอย่างมาก กล่าวว่า ตัวเลือกในการเจรจาได้หมดลงแล้ว และการขัดขวางต่อไปจะส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ พร้อมเผยด้วยว่า EU ได้ให้คำมั่นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรแก่สโลวาเกีย เกี่ยวกับแผนการยุติการใช้ก๊าซรัสเซียเพื่อแลกกับการสนับสนุน
ด้านเดนิส ชมีฮาล รัฐมนตรีกลาโหมยูเครน ขานรับมาตรการคว่ำบาตรชุดที่ 18 ของ EU โดยกล่าวว่า "ทุกมาตรการกัดกร่อนขีดความสามารถในการทำสงครามของผู้รุกราน"