กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันออกแถลงการณ์ในวันนี้ (19 ส.ค.) ยืนกรานว่า ไต้หวันจำต้องพึ่งพาตนเองในด้านความมั่นคงของชาติ ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ อ้างว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้แจ้งกับตนว่าจะไม่นำกำลังทหารบุกไต้หวัน ตราบใดที่ทรัมป์ยังอยู่ในตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ
ถ้อยแถลงดังกล่าวของปธน.ทรัมป์ มีขึ้นระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Fox News ก่อนที่จะประชุมร่วมกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ที่รัฐอะแลสกา
ต่อประเด็นดังกล่าว เซียว กวง-เหว่ย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศไต้หวัน ชี้แจงว่า รัฐบาลได้เฝ้าติดตามการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ กับจีนอย่างใกล้ชิดเสมอมา พร้อมกับย้ำว่า "ความมั่นคงของไต้หวันจำต้องสำเร็จได้ด้วยความเพียรพยายามของตนเอง ด้วยเหตุนี้ ประเทศของเราจึงได้อุทิศตนเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการป้องกันตนเองและความแข็งแกร่งในการรับมือต่อสถานการณ์ ประเทศของเราจะมุ่งมั่นดำเนินงานอย่างหนักในเรื่องนี้ต่อไป"
ท่าทีของไต้หวันมีขึ้นท่ามกลางแรงกดดันทั้งทางการทหารและการเมืองจากรัฐบาลจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดห้าปีที่ผ่านมา โดยรัฐบาลปักกิ่งถือว่าเกาะไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งในดินแดนของตน ทั้งยังไม่เคยประกาศละทิ้งการใช้กำลังเพื่อการรวมชาติ
อนึ่ง สหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนและผู้จัดหายุทโธปกรณ์รายสำคัญที่สุดให้แก่ไต้หวัน แม้จะมิได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างกันก็ตาม โดยดำเนินนโยบาย "ความคลุมเครือทางยุทธศาสตร์" (strategic ambiguity) ที่ไม่แสดงท่าทีอย่างชัดแจ้งว่าจะตอบโต้ทางการทหารหรือไม่หากจีนใช้กำลังรุกรานไต้หวัน แต่กฎหมายของสหรัฐฯ ได้บัญญัติให้ต้องจัดหาเครื่องมือเพื่อให้ไต้หวันสามารถป้องกันตนเองได้
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ส.ค.) กระทรวงการต่างประเทศของจีนก็ได้ออกมาแถลงตอบโต้ความเห็นของทรัมป์เช่นกัน โดยระบุว่า "กรณีไต้หวันเป็นกิจการภายในของจีนโดยแท้ และวิถีทางในการแก้ไขปัญหาย่อมเป็นเรื่องของปวงชนชาวจีน" ในขณะที่รัฐบาลไต้หวันปฏิเสธการอ้างอธิปไตยของจีนอย่างแข็งขันมาโดยตลอด