ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ศาลฎีกาเร่งรับคำร้องและกลับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ที่มีคำวินิจฉัยว่ามาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ที่เขาประกาศใช้กับประเทศทั่วโลกนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อเรียกร้องดังกล่าวมีขึ้นในช่วงค่ำวันพุธ (3 ก.ย.) เพียง 5 วันหลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ที่ปธน.ทรัมป์ประกาศใช้ โดยคณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 4 เสียง ตัดสินว่า ผู้นำสหรัฐฯ ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ค.ศ. 1977
คำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลอุทธรณ์ทำให้นโยบายการค้าซึ่งถือเป็นวาระหลักของรัฐบาลทรัมป์ต้องตกอยู่ในความไม่แน่นอน
สำนักข่าวเอ็นบีซี นิวส์ เผยแพร่เอกสารที่ได้รับจากฝ่ายโจทก์ในคดีนี้ว่า ปธน.ทรัมป์กำลังขอให้ศาลฎีกาพิจารณาการอุทธรณ์ของเขาในช่วงต้นเดือนพ.ย.นี้ และขอให้ศาลประกาศคำตัดสินสุดท้ายเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการภาษีศุลกากรในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
"การชะลอคำตัดสินไปจนถึงเดือนมิ.ย. 2569 อาจมีผลต่อภาษีศุลกากรที่ได้มีการจัดเก็บไปแล้วมูลค่า 7.50 แสนล้านดอลลาร์ - 1 ล้านล้านดอลลาร์ และการยกเลิกมาตรการเหล่านี้ในภายหลังอาจทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างมาก" ปธน.ทรัมป์ระบุในเอกสารดังกล่าว
โดยปกติแล้ว ศาลฎีกาจะใช้เวลาพิจารณาคดีความในลักษณะดังกล่าวเป็นเวลานานจนถึงช่วงต้นฤดูร้อนปีหน้า
เอกสารยังระบุด้วยว่า สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้แนบคำประกาศไว้ในคำร้องของปธน.ทรัมป์ โดยกล่าวว่าคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ "เป็นการบ่อนทำลายอันร้ายแรงต่อความสามารถของประธานาธิบดีในการดำเนินงานทางการทูตในโลกแห่งความเป็นจริงและความสามารถในการปกป้องความมั่นคงของชาติและเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา"
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้ใช้ข้อกฎหมาย IEEPA ในการกำหนดมาตรการภาษีนำเข้าในอัตราสูงต่อประเทศคู่ค้า โดยประกาศให้การขาดดุลของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ กับประเทศอื่น ๆ เป็นภาวะฉุกเฉินของชาติ
ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่า การเรียกเก็บภาษีศุลกากรเป็นอำนาจหลักของสภาคองเกรส ไม่ใช่อำนาจของประธานาธิบดี และยังระบุว่า อำนาจหลักของสภาคองเกรสในการจัดเก็บภาษี เช่น ภาษีศุลกากรนั้น เป็นอำนาจที่รัฐธรรมนูญมอบให้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติเพียงฝ่ายเดียว
ศาลได้อนุญาตให้มาตรการภาษีของปธน.ทรัมป์ยังคงบังคับใช้ต่อไปได้จนถึงวันที่ 14 ต.ค. เพื่อให้รัฐบาลทรัมป์มีโอกาสยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของสหรัฐฯ