ศาลสูงสุดสหรัฐฯ มีคำตัดสินครั้งสำคัญเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (8 ก.ย.) เปิดทางให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สามารถกลับมาใช้ปฏิบัติการจู่โจมตรวจค้นผู้อพยพในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ได้อีกครั้ง โดยอาศัยข้อสังเกตจากเชื้อชาติหรือภาษาเป็นหลัก
คำตัดสินนี้ส่งผลให้หน่วยลาดตระเวนของรัฐบาลสามารถกลับมาปฏิบัติการได้ทันที โดยได้กลับคำตัดสินของศาลชั้นต้นที่เคยสั่งระงับปฏิบัติการดังกล่าวไว้
ผู้พิพากษาโซเนีย โซโตมายอร์ สมาชิกเชื้อสายฮิสแปนิกคนแรกของศาลสูงสุด ได้เขียนความเห็นว่า คำตัดสินนี้ "แทบจะประกาศอยู่แล้วว่าชาวลาติโนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองสหรัฐฯ หรือไม่ ที่ทำงานค่าแรงต่ำ จะเป็นเป้าหมายที่สามารถถูกจับกุมได้ทุกเมื่อ" และตนไม่อาจ "ยืนดูอยู่เฉย ๆ ในขณะที่เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของเรากำลังสูญสิ้นไป"
ด้านเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวประณามว่า "เสียงข้างมากในศาลสูงสุดที่ทรัมป์เลือกมากับมือ เพิ่งจะกลายมาเป็นผู้นำขบวนแห่งความน่าสะพรึงกลัวทางเชื้อชาติในลอสแอนเจลิส" โดยพาดพิงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าทรัมป์เป็นผู้แต่งตั้งผู้พิพากษาถึง 3 คนในคณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดชุดปัจจุบันที่มีทั้งหมด 9 คน
นิวซัมย้ำว่า "นี่ไม่ใช่การบังคับใช้กฎหมาย แต่เป็นการพุ่งเป้าไปที่ชาวลาติโนและใครก็ตามที่หน้าตาหรือสำเนียงไม่เหมือน 'คนอเมริกัน' ในอุดมคติของสตีเฟน มิลเลอร์ (ที่ปรึกษาของทรัมป์)"
ในทางกลับกัน แพม บอนดี รัฐมนตรียุติธรรมที่ทรัมป์แต่งตั้ง ได้โพสต์ข้อความแสดงความยินดี โดยระบุว่านี่คือ "ชัยชนะครั้งใหญ่" ที่ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้โดยไม่ต้องถูก "ฝ่ายตุลาการเข้ามาจัดการในรายละเอียดปลีกย่อย"
ขณะที่ผู้พิพากษาฝ่ายอนุรักษนิยม เบรตต์ คาวานอห์ ซึ่งเห็นด้วยกับคำตัดสิน กล่าวเสริมว่า แม้ "ชาติพันธุ์เพียงอย่างเดียวไม่ถือเป็นเหตุอันควรสงสัย" แต่ก็สามารถใช้เป็น "ปัจจัยประกอบ" ร่วมกับข้อสังเกตอื่น ๆ ได้ และหากพบว่าบุคคลนั้นเป็นพลเมืองหรือพำนักอย่างถูกกฎหมาย เจ้าหน้าที่ก็จะปล่อยตัวไปทันที
นโยบายตรวจคนเข้าเมืองอันแข็งกร้าวของทรัมป์ ซึ่งมีสตีเฟน มิลเลอร์ เป็นผู้วางแผนหลัก ได้สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วชุมชนผู้อพยพ และนำไปสู่การประท้วงใหญ่ในลอสแอนเจลิส จนรัฐบาลต้องส่งทหารเข้าควบคุมสถานการณ์เมื่อเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา
คดีนี้เริ่มต้นขึ้นจากการที่กลุ่มชาวลาติโน ซึ่งบางคนเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาล โดยระบุว่าพวกเขาถูกเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางเข้าหาและบังคับให้ตอบคำถามเพียงเพราะลักษณะภายนอก ทนายความของกลุ่มผู้ฟ้องยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อสู้กับ "แผนการเนรเทศที่เหยียดเชื้อชาติ" นี้ต่อไป