ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) ว่า ชาติมหาอำนาจยุโรปมีแนวโน้มกลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ (UN) ต่ออิหร่านภายในสิ้นเดือนนี้ หลังอิหร่านยังไม่แสดงความจริงใจเพียงพอระหว่างการหารือรอบล่าสุด
ก่อนหน้านี้เมื่อปลายเดือนส.ค.ที่ผ่านมา อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี หรือกลุ่ม E3 ได้ขู่ว่าจะนำมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติกลับมาบังคับใช้กับอิหร่านอีกครั้งภายใต้กลไก "Snapback" หากอิหร่านไม่ยอมหวนคืนสู่โต๊ะเจรจาว่าด้วยโครงการนิวเคลียร์ โดยชาติตะวันตกเหล่านี้พร้อมด้วยสหรัฐอเมริกายืนกรานว่า อิหร่านกำลังใช้โครงการนิวเคลียร์เพื่อแอบซุ่มพัฒนาอาวุธ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่อิหร่านปฏิเสธมาโดยตลอด
รัฐบาลอิหร่านได้ระงับการเจรจากับสหรัฐฯ หลังจากที่สหรัฐฯ และอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อเดือนมิ.ย. และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คณะผู้ตรวจการจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ก็ไม่สามารถเข้าถึงโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ แม้ว่าราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่ IAEA จะออกมายืนกรานว่าการตรวจสอบโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดก็ตาม
อย่างไรก็ตาม หากอิหร่านปฏิบัติตามเงื่อนไข กลไกดังกล่าวสามารถเลื่อนออกไปสูงสุด 6 เดือน เพื่อเปิดทางให้มีการเจรจาอย่างจริงจัง
ด้านอับบาส อารักชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน แถลงในวันเดียวกันว่า ได้ยื่นแผนที่สมเหตุสมผลและปฏิบัติได้จริงต่อกลุ่ม E3 และสหภาพยุโรป (EU) เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตที่ไม่จำเป็น พร้อมระบุผ่านทางเอ็กซ์ว่า ข้อเสนอดังกล่าวตอบโจทย์ข้อกังวลของทุกฝ่ายและเป็นประโยชน์ร่วมกัน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (17 ก.ย.) รัฐมนตรีต่างประเทศจากกลุ่ม E3, ผู้แทนด้านนโยบายต่างประเทศของ EU และรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ได้หารือทางโทรศัพท์ร่วมกัน ขณะที่แหล่งข่าวทางการทูตระบุว่า ยังไม่เห็นความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม แม้ประตูเจรจายังเปิดกว้าง
ทั้งนี้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) มีกำหนดลงมติวันศุกร์ (19 ก.ย.) เกี่ยวกับร่างมติที่จะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านอย่างถาวร แต่คาดว่ามติจะไม่ผ่านเกณฑ์เสียงขั้นต่ำ 9 เสียง และหากผ่านก็อาจถูกสหรัฐฯ อังกฤษ หรือฝรั่งเศส ใช้อำนาจวีโต้