สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สถานการณ์ในฉนวนกาซากลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หลังการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสเมื่อวันอาทิตย์ (19 ต.ค.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 46 ราย แม้ทั้งสองฝ่ายจะอยู่ในระหว่างข้อตกลงหยุดยิงก็ตาม
กองทัพอิสราเอล (IDF) แถลงว่า ชนวนเหตุครั้งนี้เกิดจากการที่กลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีก่อนในช่วงเช้าวันเดียวกัน ทำให้ทหารอิสราเอลเสียชีวิต 2 นาย โดยกลุ่มฮามาสได้ยิงขีปนาวุธต่อต้านรถถังและระดมยิงใส่ทหารอิสราเอลที่กำลังปฏิบัติภารกิจรื้อถอนโครงสร้างพื้นฐานในเมืองราฟาห์ ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา
เพื่อเป็นการตอบโต้ กองกำลัง IDF ได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศและยิงปืนใหญ่ถล่มหลายพื้นที่ทั่วฉนวนกาซาอย่างหนักหน่วง ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขของกาซายืนยันว่า การโจมตีของอิสราเอลทำให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 44 คน
มาห์มูด บาซาล โฆษกหน่วยป้องกันพลเรือนกาซา เปิดเผยกับซินหัวว่า ทีมเจ้าหน้าที่ภาคสนามต้องออกปฏิบัติการตอบสนองต่อการแจ้งเหตุฉุกเฉินมากกว่า 20 ครั้งนับตั้งแต่ช่วงเช้าเป็นต้นมา
อย่างไรก็ดี ในช่วงค่ำวันเดียวกัน กองทัพอิสราเอลได้ประกาศกลับมาบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้ง โดย อาวิไค อัดราอี โฆษกกองทัพอิสราเอล ระบุในแถลงการณ์ว่า การตัดสินใจดังกล่าวเป็นไปตามคำสั่งจากฝ่ายการเมือง หลังจากที่กองทัพได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศครั้งสำคัญเพื่อตอบโต้การละเมิดข้อตกลงของกลุ่มฮามาสแล้ว
สำหรับข้อตกลงหยุดยิงฉบับนี้ มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. โดยมีอียิปต์ กาตาร์ และตุรกีเป็นคนกลาง และได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ซึ่งสาระสำคัญคือ ยุติการสู้รบ แลกเปลี่ยนนักโทษ ถอนกำลังทหารอิสราเอลออกจากบางพื้นที่ และเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่ถึงกระนั้น ทั้งอิสราเอลและฮามาสต่างก็กล่าวหากันไปมาว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงมาโดยตลอด