รัฐบาลทหารเมียนมาควบคุมตัวคนต่างด้าวสัญชาติต่าง ๆ ได้กว่า 10,000 คนในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา โดยกล่าวหาว่าบุคคลเหล่านี้ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายเพื่อมีส่วนร่วมในขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ หรือแก๊งสแกมเมอร์
กระทรวงสารสนเทศของเมียนมาเปิดเผยในวันนี้ (28 ต.ค.) ว่า จากจำนวนผู้ถูกควบคุมตัวทั้งหมด 10,119 คน จนถึงวันที่ 27 ต.ค. ในปฏิบัติการปราบปรามร่วมกันระหว่างเมียนมา จีน และไทย มีผู้ถูกส่งตัวกลับประเทศแล้วประมาณ 9,340 คน และกำลังดำเนินการส่งตัวคนที่เหลือกลับประเทศต่อไป
ความเคลื่อนไหวของเมียนมาเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศ ที่บีบให้รัฐบาลทหารเมียนมาต้องทลายเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์ที่มีมูลค่ามหาศาลนับพันล้านดอลลาร์ โดยเมื่อเดือนที่แล้ว สหรัฐฯ ก็เพิ่งประกาศคว่ำบาตรหลายบริษัทในเมืองชเวโก๊กโก่ (Shwe Kokko) ซึ่งสหรัฐฯ ระบุว่าเป็นศูนย์กลางแก๊งสแกมเมอร์ขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่เป็นพันธมิตรกับรัฐบาลทหาร
พลตรีซอ มิน ตุน โฆษกรัฐบาลทหารเมียนมา ได้กล่าวโทษสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ซึ่งเป็นกองกำลังชาติพันธุ์ที่สู้รบกับฝ่ายรัฐบาลทหาร ว่าเป็นผู้ปล่อยให้เครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์เข้ามาตั้งฐานในพื้นที่เคเคพาร์ค (KK Park) ใกล้ชายแดนไทย-เมียนมา พร้อมทั้งกล่าวหาว่าเหล่าผู้นำของ KNU ได้รับผลประโยชน์จากการให้เช่าที่ดินและการคุ้มกันความปลอดภัยให้กับศูน์กลางการพนันแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม ซอ ทอ นี หัวหน้าฝ่ายกิจการต่างประเทศของ KNU ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยกล่าวว่า "พวกเขาทำเรื่องแบบนี้มานานหลายปีเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่พอถูกประชาคมโลกกดดันเข้า ก็พยายามหาแพะรับบาป แล้วก็โยนความผิดมาให้เรา"
อนึ่ง รายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ที่เผยแพร่ในปีนี้ ระบุว่า เครือข่ายอาชญากรรมในประเทศต่าง ๆ เช่น เมียนมา ลาว และกัมพูชา กำลังดำเนินการศูนย์ฉ้อโกงและหลอกลวงทางไซเบอร์ในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งมีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติอันสลับซับซ้อนเป็นผู้ขับเคลื่อน และเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน นักค้ามนุษย์ นายหน้าค้าข้อมูล รวมถึงผู้ให้บริการเฉพาะทางและผู้สนับสนุนอื่น ๆ ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง