คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) มีมติด้วยคะแนนเสียง 14-0 และจีนงดออกเสียง ให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อ อาเหม็ด อัล-ชารา ประธานาธิบดีซีเรีย และอนัส ค็อตตับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของซีเรีย ซึ่งถือเป็นการปูทางสำหรับการเดินทางเยือนทำเนียบขาวของอัล-ชารา เพื่อพบปะกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ (10 พ.ย.)
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้น หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของปธน.ทรัมป์ได้พยายามเรียกร้องให้ UNSC ซึ่งมีสมาชิก 15 ชาติ ผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรต่อซีเรียมาเป็นเวลาหลายเดือน โดยก่อนหน้านี้ในเดือนพ.ค. ปธน.ทรัมป์ได้สร้างความประหลาดใจด้วยการประกาศเปลี่ยนทิศทางนโยบายครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ ว่าจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯ บังคับใช้ต่อซีเรียแต่เพียงฝ่ายเดียว
"ผมคิดว่าเขา (อัล-ชารา) กำลังทำหน้าที่ได้ดีมาก" ปธน.ทรัมป์กล่าวถึงผู้นำซีเรียคนใหม่ "มันเป็นพื้นที่ที่รับมือได้ยาก และเขาเองก็เป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่ผมเข้ากับเขาได้ดีมาก และเรามีความคืบหน้าอย่างมหาศาลกับซีเรีย"
"เราตัดสินใจยกเลิกการคว่ำบาตรเพื่อให้พวกเขามีโอกาสได้ลุกขึ้นสู้" ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่กรุงวอชิงตัน
สำหรับความเป็นมานั้น ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งปกครองซีเรียมายาวนาน ได้ถูกโค่นอำนาจลงเมื่อเดือนธ.ค. ปีที่แล้ว หลังพ่ายแพ้ต่อปฏิบัติการรุกคืบแบบสายฟ้าแลบของกองกำลังฝ่ายต่อต้านที่นำโดยกลุ่มติดอาวุธฮายัต ตะห์รีร์ อัล-ชาม (HTS) ซึ่งเป็นกลุ่มอิสลามิสต์ที่ทรงอิทธิพลที่สุด
กลุ่ม HTS เดิมเคยเป็นที่รู้จักในชื่อ "แนวร่วมนุสรา" (Nusra Front) และเคยเป็นเครือข่ายอย่างเป็นทางการของกลุ่มอัลกออิดะห์ในซีเรีย ก่อนจะประกาศตัดความสัมพันธ์ในปี 2559 ทั้งนี้ กลุ่ม HTS ถูกจัดอยู่ในบัญชีคว่ำบาตรของ UNSC ในฐานะองค์กรที่เกี่ยวข้องกับอัลกออิดะห์และกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ตั้งแต่เดือนพ.ค. 2557 ส่งผลให้สมาชิกของกลุ่มหลายราย รวมถึงอัล-ชาราและค็อตตับ ตกอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรส่วนบุคคลไปด้วย ทั้งการห้ามเดินทาง การอายัดทรัพย์สิน และการห้ามซื้อขายอาวุธ ซึ่งมติล่าสุดได้ปลดล็อกข้อจำกัดเหล่านี้แล้ว
อย่างไรก็ดี รายงานจาก UN เดือนก.ค. ระบุว่า ตลอดปีนี้ไม่พบ "ความเชื่อมโยงอย่างแข็งขัน" ระหว่างกลุ่มอัลกออิดะห์กับ HTS อีกต่อไป
ทั้งนี้ ฟู่ ชง เอกอัครราชทูตจีนประจำ UN ให้เหตุผลที่จีนงดออกเสียงว่า เป็นเพราะร่างมติดังกล่าวไม่ได้จัดการกับข้อกังวลของจีนเกี่ยวกับสถานการณ์การต่อต้านการก่อการร้ายและความมั่นคงในซีเรียอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชะตากรรมของกลุ่มขบวนการอิสลามแห่งเตอร์กิสถานตะวันออก (ETIM) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีนักรบชาวอุยกูร์จากจีนและเอเชียกลางเข้าร่วม
ฟู่กล่าวว่า มติที่ผ่านการรับรองนี้ "ระบุอย่างชัดเจน" ว่า ซีเรียจำเป็นต้อง "ดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้าย และตอบสนองต่อภัยคุกคามจากนักรบต่างชาติ (FTF) ซึ่งรวมถึงกลุ่ม ETIM ในซีเรียด้วย"
ด้านวาสซิลี เนเบนเซีย เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำ UN กล่าวว่า รัสเซียสนับสนุนมติที่กระชับและรัดกุมฉบับนี้ เพราะ "ที่สำคัญที่สุดคือ มันสะท้อนถึงผลประโยชน์และแรงบันดาลใจของประชาชนชาวซีเรียโดยตรง"
ขณะที่อิบราฮิม โอลาบี เอกอัครราชทูตซีเรียประจำ UN ได้กล่าวชื่นชมการตัดสินใจของ UNSC ว่าเป็น "สารแห่งการสนับสนุนต่อสตรีและบุรุษชาวซีเรียในความพยายามที่จะสร้างมาตุภูมิและฟื้นฟูชีวิตของพวกเขาขึ้นมาใหม่"
"ซีเรียโฉมใหม่จะกลายเป็นเรื่องราวแห่งความสำเร็จ จะเป็นต้นแบบที่ส่องสว่างซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าหนทางที่ดีที่สุดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคือการมีส่วนร่วมเชิงบวกและความร่วมมือที่สร้างสรรค์ หากยังมีความกังวลใด ๆ ซีเรียก็พร้อมอย่างเต็มที่ที่จะจัดการกับข้อกังวลเหล่านั้นด้วยเจตนาที่จริงใจบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน" ทูตซีเรียกล่าวในที่ประชุม