ศาลสูงสหรัฐฯ มีคำสั่งเมื่อวันศุกร์ (5 ธ.ค.) ในการรับพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งฝ่ายบริหารที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ผลักดันให้ยุติสิทธิการได้สัญชาติโดยกำเนิด ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่สหรัฐฯ ใช้มายาวนานกว่าศตวรรษ และได้กลายเป็นประเด็นพิพาททางกฎหมายทันทีหลังประกาศใช้
คำสั่งดังกล่าวมีผลหลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 โดยสั่งให้หน่วยงานรัฐบาลกลางหยุดรับรองสัญชาติสหรัฐฯ สำหรับเด็กที่เกิดหลังวันที่ 19 ก.พ. หากบิดามารดาไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ หรือผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวร ขณะที่รัฐบาลให้เหตุผลว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้รองรับการให้สัญชาติแก่บุตรของผู้เดินทางชั่วคราวหรือผู้อพยพผิดกฎหมาย เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของสหรัฐฯ ตามความหมายตามรัฐธรรมนูญ
ภายหลังมีคำสั่งนี้ มีการยื่นฟ้องหลายคดีเพื่อท้าทายความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการดังกล่าว และผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางได้สั่งระงับการบังคับใช้เป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ศาลสูงสหรัฐฯ มีมติ 63 ว่า ศาลชั้นต้นของรัฐบาลกลางไม่มีอำนาจออกคำสั่งคุ้มครองในวงกว้างเพื่อยับยั้งการบังคับใช้คำสั่งของฝ่ายบริหารทั่วประเทศ
การที่ศาลสูงรับคำอุทธรณ์เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. สะท้อนว่า ศาลต้องการพิจารณาข้อขัดแย้งนี้อย่างรอบด้าน โดยคดีนี้เป็นหนึ่งในหลายประเด็นด้านนโยบายคนเข้าเมืองของทรัมป์ที่ศาลสูงถูกขอให้เข้ามาตัดสินในช่วงที่ผ่านมา