"การดำเนินการที่รุนแรงและแถลงการณ์จากผู้แบ่งแยกดินแดนที่รัสเซียหนุนหลังอยู่นั้น คุกคามมาตรการหยุดยิงล่าสุดและเสี่ยงกับแผนการถอนอาวุธตามที่ได้วางแผนไว้ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องอยู่ชุดมาตรการดำเนินงานมินสก์ที่เกิดขึ้นวันที่ 12 ก.พ." โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐระบุในแถลงการณ์
เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา ผู้นำรัสเซีย ยูเครน ฝรั่งเศส และเยอรมนีประกาศข้อตกลงสันติภาพซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้กองกำลังของรัฐบาลยูเครนและกล่มุกบฎหยุดการต่อสู้กัน โดยข้อตกลงดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันอาทิตยที์ผ่านมา และตามมาด้วยการถอนอาวุธหนักจากแนวหน้า และการปฏิรูปรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยูเครนตะวันออกมีอิสระในการปกครองตนเองได้มากขึ้น
องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) ยืนยันว่า มีการสู้รบอย่างต่อเนื่องหลายจุดในยูเครนตะวันออก ซึ่งรวมถึงเขตเดบอลต์เซฟ เซเวโรโดเนทสค์ ลูฮันสค์ และโดเนทสค์
นางซากิอ้างอิงการเปิดเผยของรัฐบาลยูเครนซึ่งระบุว่า "รัฐบาลถูกโจมตี 129 ครั้งใน 24 ชั่วโมงหลังสุดโดยกลุ่มกบฎซึ่งรัสเซียหนุนหลัง" ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย และบาดเจ็บ 25 คน
เธอระบุว่า กลุ่มกบฎชี้แจงต่อสาธารณะว่า พวกตนปฏิเสธที่จะทำตามข้อตกลงหยุดยิงในเขตเดบอลต์เซฟ และไม่มีการรับประการความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ OSCE เมื่อเข้าไปในนั้น สำนักข่าวซินหัวรายงาน