ผลการศึกษาวิจัยของแกลลัพ โพลล์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาระบุว่า มีชาวอเมริกันจำนวนน้อยลงที่ระบุถึงค่าใช้จ่ายด้านบริการสุขภาพที่ไม่เพียงพอในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยแกลลัพ โพลล์ได้ทำการเก็บข้อมูลลักษณะนี้นับตั้งแต่ปี 2551
แม้ว่าจะมีชาวอเมริกันราว 1 ใน 6 ออกมารายงานว่า ไม่มีเงินเพียงพอต่อการชำระค่ารักษาพยาบาลที่จำเป็น แต่ตัวเลขดังกล่าวก็เป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าข้อมูลของเมื่อ 3 ปี ที่ผ่านมา
การขยายการรับประกันให้ครอบคลุมชาวอเมริกันอีกหลายล้านคนภายใต้กฎหมายประกันสุขภาพ หรือที่เรียกกันว่า โอบามา แคร์ น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลขความไม่เชื่อมั่นลดลง อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์อันเป็นรูปธรรมของกฎหมายดังกล่าว
สัดส่วนของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันที่มีความไม่เชื่อมั่นต่อด้านการบริการสุขภาพลดลง 3.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2556
ตัวเลขที่ลดลงดังกล่าวลดลงพร้อมกับตัวเลขของชาวอเมริกันที่ไม่มีประกันสุขภาพ ซึ่งตัวเลขของชาวอเมริกันที่ไม่มีประกันสุขภาพลดลงจาก 17.1% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีกฎหมายบังคับใช้ให้ชาวอเมริกันถือประกันสุขภาพ เหลือ 11% ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ โดยไตรมาสที่ 4 ปี 2556
ตั้งแต่ปลายปี 2556 สัดส่วนของคนที่มีประกันและไม่มีประกันที่มาร้องเรียนเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ไม่มีประกันซึ่งลดลงจาก 45% เหลือ 41.8%
การลดลงของตัวเลขของทั้งผู้มีประกันและไม่มีประกันสามารถสะท้อนให้เห็นถึงสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
แต่ปัจจัยดังกล่าวก็อาจเป็นเพราะชาวอเมริกันมีภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ลดลงอันเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่ต่ำลงก็เป็นได้ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ชาวอเมริกันสามารถนำเงินไปใช้จ่ายในด้านการรักษาพยาบาลได้มากขึ้น
โครงการโอบามาแคร์ได้รับการลงนามและมีผลบังคับใช้ในปี 2553 ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ประกันสุขภาพดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้แก่กลุ่มคนชั้นกลาง ในขณะที่ผู้ที่สนับสนุนกล่าวว่า ประกันดังกล่าวจะเป็นการช่วยเหลือผู้ที่ไม่มีเงินพอสำหรับการรักษาสุขภาพ
กลุ่มคนชั้นกลางและสูงกว่าชั้นกลางในสหรัฐต่างมองว่า ตนเองมีค่าใช้จ่ายด้านการรักษาสุขภาพมากขึ้น เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้คนและครอบครัวที่มีรายได้ต่ำ
อย่างไรก็ดี ชะตากรรมของโครงการโอบามาแคร์ก็ยังคงไม่แน่นอน แต่ก็รอดพ้นจากการคัดค้านบนชั้นศาลมาแล้วถึง 2 ครั้ง อย่างไรก็ดี นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันผู้ลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวว่า จะยกเลิกโครงการดังกล่าว หากตนได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี
รายงานจาก เออร์บัน อินสติติวท์ ระบุว่า หากโครงการโอบามาแคร์ถูกยกเลิกโดยคณะรัฐบาลชุดใหม่ ตัวเลขของชาวอเมริกันผู้ไม่มีความเชื่อมั่นด้านการบริการสุขภาพอาจเพิ่มขึ้นถึง 24 ล้านรายภายในปี 2564 สำนักข่าวซินหัวรายงาน