ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในวันพฤหัสบดี (24 ก.ค.) เพื่อผลักดันให้เมืองและรัฐต่าง ๆ รื้อถอนเต๊นท์ที่พักของคนไร้บ้าน และย้ายคนเหล่านี้ไปยังศูนย์บำบัดดูแล อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้สนับสนุนคนไร้บ้านมองว่าคำสั่งของปธน.ทรัมป์จะยิ่งทำให้ปัญหาแย่ลง
คำสั่งดังกล่าวของปธน.ทรัมป์ได้สั่งการให้แพม บอนดี อัยการสูงสุดของสหรัฐฯ พลิกคำพิพากษาและคำยินยอมของศาลทั้งในระดับรัฐและรัฐบาลกลางที่จำกัดความพยายามของท้องถิ่นในการรื้อถอนที่พักอาศัยชั่วคราวของคนไร้บ้าน อย่างไรก็ดี ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าอัยการสูงสุดบอนดีจะสามารถพลิกคำพิพากษาเพียงฝ่ายเดียวได้อย่างไร
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า คนไร้บ้านที่อาศัยในเต๊นท์เหล่านี้ควรถูกส่งไปยังสถานบำบัดเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพจิตและการติดยาเสพติด อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์ ไม่ได้กล่าวถึงแผนการใด ๆ ในการขยายศูนย์บำบัดหรือจัดหาที่อยู่อาศัยระยะยาว
ทั้งนี้ คำสั่งของปธน.ทรัมป์ให้สิทธิพิเศษในการให้ทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลางแก่เมืองที่บังคับใช้คำสั่งห้ามการตั้งเต๊นท์ในที่สาธารณะ การใช้ยาเสพติด และการบุกรุกที่ดิน แต่จะระงับเงินทุนสำหรับเมืองที่อนุญาตให้มีการใช้ยาเสพติดแม้จะอยู่ภายใต้การดูแล
ข้อมูลจากสภาประสานงานเกี่ยวกับคนไร้บ้านของสหรัฐฯ (U.S. Interagency Council on Homelessness) พบว่า ในปี 2567 มีคนไร้บ้านในสหรัฐฯ ประมาณ 771,480 คนในคืนเดียว เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อนหน้า โดยในจำนวนนี้มี 36% ไม่มีที่พักพิง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาอาศัยอยู่ตามท้องถนน ในยานพาหนะ หรือในเต๊นท์
แนวร่วมแห่งชาติเพื่อคนไร้บ้าน (The National Coalition for the Homeless) ได้ออกมาประณามคำสั่งดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นการบ่อนทำลายการคุ้มครองทางกฎหมายสำหรับคนไร้บ้านและผู้ป่วยทางจิต นอกจากนี้ ยังระบุว่า รัฐบาลทรัมป์มีประวัติที่น่ากังวลเกี่ยวกับการเพิกเฉยต่อสิทธิพลเมืองและกระบวนการยุติธรรม พร้อมกับเตือนว่าจะยิ่งทำให้วิกฤตคนไร้บ้านเลวร้ายลง
ศูนย์กฎหมายเพื่อคนไร้บ้านแห่งชาติ (The National Homelessness Law Center) กล่าวว่า คำสั่งของปธน.ทรัมป์ ประกอบกับการลดงบประมาณสำหรับที่อยู่อาศัยและการดูแลสุขภาพ จะยิ่งทำให้ปัญหาคนไร้บ้านเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มอื่น ๆ กล่าวว่า คำสั่งนี้เสี่ยงต่อการทำให้คนไร้บ้านกลายเป็นอาชญากร ด้วยการผลักดันผู้คนออกจากท้องถนนโดยไม่มีการรับประกันที่อยู่อาศัย ซึ่งจะทำให้วิกฤตเลวร้ายลง