ภาคเหนือของอินเดียเผชิญอิทธิพลของฝนที่ตกลงมาอย่างหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในหลายพื้นที่ ล่าสุดมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 34 ราย ขณะที่ระบบสาธารณูปโภค ทั้งไฟฟ้า ประปา และการสื่อสารถูกตัดขาดเป็นวงกว้าง
สำนักข่าว ANI รายงานว่า เมื่อวานนี้ (26 ส.ค.) บริเวณใกล้กับศาลเจ้าไวษโณเทวี (Vaishno Devi) ซึ่งเป็นเส้นทางแสวงบุญสำคัญ เกิดเหตุดินถล่มลงมาทับประชาชน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 30 ราย นับเป็นภัยพิบัติครั้งล่าสุดที่เกิดจากฝนตกหนักในภูมิภาคหิมาลัย ต่อจากเหตุการณ์ที่เมืองคิชตวาร์ในแคว้นแคชเมียร์เมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 60 ราย และสูญหายอีกกว่า 200 ราย
กรมอุตุนิยมวิทยาอินเดีย (IMD) รายงานว่า ปริมาณน้ำฝนในเมืองจัมมูเมื่อวันอังคาร วัดได้สูงถึง 368 มิลลิเมตร และยังคงพยากรณ์ว่าจะมีฝนตกหนักและพายุฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ทั้งในลาดัก รัฐหิมาจัลประเทศ และดินแดนสหภาพจัมมูและแคชเมียร์ ส่งผลให้ทางการต้องประกาศสั่งปิดโรงเรียนในหลายพื้นที่แล้ว
โอมาร์ อับดุลลาห์ มุขมนตรีแห่งจัมมูและแคชเมียร์ ยอมรับว่า ทางการกำลังเร่งกู้สถานการณ์ โดยเฉพาะระบบการสื่อสารที่ "แทบจะล่มสลาย" ขณะที่ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักหลายสายได้เอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 รายในเขตโดดา
ชิเตนทระ สิงห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอินเดีย เปิดเผยผ่านเอ็กซ์ว่า ภารกิจเร่งด่วนที่สุดคือการฟื้นฟูบริการไฟฟ้า น้ำประปา และสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำงานกันตลอดทั้งคืน นอกจากนี้ยังมีรายงานความเสียหายรุนแรงของสะพานมะโธปุร (Madhopur) ที่พังถล่มลงมาในช่วงเช้าวันนี้ โดยภาพข่าวทางโทรทัศน์เผยให้เห็นนาทีที่รถยนต์หลายคันร่วงหล่นลงไปพร้อมกับสะพาน
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างปากีสถานก็กำลังเผชิญกับฝนมรสุมอย่างหนักเช่นกัน โดยทางการปากีสถานได้ประกาศเตือนภัยน้ำท่วมในระดับ "สูงมากถึงขั้นวิกฤต" ในรัฐปัญจาบ ทางตะวันออกของประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากฝนตกหนักและการที่อินเดียตัดสินใจปล่อยน้ำจากเขื่อน 2 แห่ง ล่าสุดมีผู้อพยพออกจากพื้นที่แล้วกว่า 150,000 คน