ฟิลิปปินส์สั่งให้ประชาชนหลายหมื่นคนในภาคกลางและตะวันออกของประเทศอพยพไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัย และห้ามไม่ให้ชาวประมงออกจากฝั่ง ขณะที่พายุไต้ฝุ่น "คัลแมกี" (Kalmaegi) จากมหาสมุทรแปซิฟิกกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ โดยทางการได้ประกาศเตือนฝนตกหนักและคลื่นพายุซัดฝั่งที่อาจสูงถึง 3 เมตร
รายงานระบุว่า ล่าสุดไต้ฝุ่นคัลแมกีอยู่ห่างจากเมืองกิอานในจังหวัดอีสเทิร์นซามาร์ ไปทางตะวันออกประมาณ 235 กิโลเมตร โดยมีความเร็วลมต่อเนื่องสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีลมกระโชกแรงสูงสุดถึง 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าพายุจะพัดขึ้นฝั่งในช่วงเย็นวันนี้ (3 พ.ย.) ก่อนจะเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกในช่วงคืนนี้และในวันพรุ่งนี้ โดยคาดว่าพายุจะพัดถล่มจังหวัดในภาคกลาง รวมถึงจังหวัดเซบู ที่ยังคงได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6.9 เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 79 ราย และทำให้ประชาชนหลายพันชีวิตต้องไร้ที่อยู่อาศัย
ขณะที่มีการคาดการณ์ด้วยว่า พายุคัลแมกี ซึ่งมีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า "ติโน" (Tino) จะทวีกำลังแรงขึ้นอีกขณะอยู่ในทะเลฟิลิปปินส์ ก่อนเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งในเมืองกิอาน หรือพื้นที่ใกล้เคียง
อาร์วี เอวาร์โดเน ผู้ว่าการจังหวัดอีสเทิร์นซามาร์ ได้ออกคำสั่งให้ประชาชนอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยตั้งแต่วันนี้ โดยได้รับความช่วยเหลือจากทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ดับเพลิง และหน่วยบรรเทาสาธารณภัย ในการนำประชาชนกว่า 70,000 คนในพื้นที่ชายฝั่งของเมืองกิอาน เมืองเมอร์เซเดส และเมืองซัลเซโด ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว หรือบ้านและอาคารคอนกรีตที่ได้รับการรับรองว่าแข็งแรงพอที่จะทนต่อแรงปะทะของไต้ฝุ่น ขณะที่มีการออกประกาศเตือนคลื่นพายุซัดฝั่งที่อาจสูงถึง 3 เมตรในพื้นที่ชายฝั่งเหล่านั้น
เจ้าหน้าที่ระบุว่า ชาวบ้านหลายพันคนในจังหวัดอื่น ๆ ใกล้กับจังหวัดอีสเทิร์นซามาร์ ได้รับคำสั่งให้อพยพเช่นกัน และหน่วยงานรับมือภัยพิบัติ รวมถึงหน่วยยามฝั่ง ได้รับการแจ้งเตือนให้เตรียมพร้อมแล้ว
ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์เผชิญกับพายุและไต้ฝุ่นประมาณ 20 ลูกในแต่ละปี นอกจากนี้ยังประสบกับแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง และมีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอีกกว่าสิบลูก ทำให้ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
โดยเมื่อเดือนพ.ย. 2556 ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน (Haiyan) ซึ่งเป็นหนึ่งในพายุหมุนเขตร้อนที่มีอานุภาพรุนแรงที่สุด ขึ้นฝั่งที่เมืองกิอานเป็นแห่งแรก ก่อนพัดถล่มทั่วภาคกลางของฟิลิปปินส์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตหรือสูญหายมากกว่า 7,300 ราย หมู่บ้านหลายแห่งเสียหายย่อยยับ และซัดเรือจำนวนมากขึ้นมาเกยบนบก นอกจากนี้ พายุยังทำลายบ้านเรือนไปถึงราวหนึ่งล้านหลัง และทำให้ประชาชนกว่า 4 ล้านคนต้องพลัดถิ่นในภูมิภาคที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ