องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ระบุว่า ฝนช่วงมรสุมและพายุหมุนเขตร้อนที่รุนแรงเป็นสาเหตุให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่ของเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และอีกนับล้านคนต้องอพยพออกจากบ้านเรือน ทั้งยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
แคลร์ นัลลิส เจ้าหน้าที่ WMO กล่าวในงานแถลงข่าว ณ กรุงเจนีวา เมื่อวันอังคาร (2 ธ.ค.) ว่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม และศรีลังกา เป็นกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากการบรรจบกันของฝนมรสุมและพายุไต้ฝุ่นเขตร้อน
นัลลิสกล่าวเตือนว่า น้ำท่วมยังคงเป็นหนึ่งในภัยพิบัติอันดับต้น ๆ ของภูมิภาค และอุณหภูมิที่สูงขึ้นกำลังเพิ่มโอกาสให้ฝนตกรุนแรงยิ่งขึ้น
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า อินโดนีเซียมีผู้เสียชีวิตกว่า 600 ราย และสูญหายอีกกว่า 460 รายที่เกาะสุมาตรา ขณะที่ประชาชนกว่า 1.5 ล้านคนได้รับผลกระทบ
ขณะเดียวกัน เวียดนามประสบกับพายุและฝนตกหนักนานหลายสัปดาห์ บางพื้นที่มีปริมาณน้ำฝนสูงกว่า 1,000 มิลลิเมตร แหล่งประวัติศาสตร์และสถานที่ท่องเที่ยวได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยในช่วงปลายเดือนต.ค. สถานีอุตุนิยมวิทยาในเมืองเว้บันทึกปริมาณน้ำฝนได้ 1,739.6 มิลลิเมตร ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของประเทศ และอาจเป็นสถิติสูงสุดเป็นอันดับสองของปริมาณน้ำฝนโดยรวมที่วัดได้ในเวลา 24 ชั่วโมงในซีกโลกเหนือและเอเชีย ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตในเวียดนามอยู่ที่ 98 ราย และสูญหาย 10 ราย
ฟิลิปปินส์กำลังเผชิญกับพายุอีกลูก ขณะที่ประชาชนในศรีลังกาเกือบล้านชีวิตได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลนดิตวาห์ที่เป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่ม โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตหรือสูญหายกว่า 400 ราย
ริคาร์โด ปิเรส จากองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือยูนิเซฟ (UNICEF) กล่าวว่า มีเด็กกว่า 275,000 คนที่ได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลนดิตวาห์ ซึ่งก่อให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงและดินถล่ม หลังเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งทางชายฝั่งตะวันออกของเอเชียเมื่อวันที่ 28 พ.ย. และเสริมว่า ตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้ เนื่องจากหลายพื้นที่ยังไม่สามารถเข้าถึงได้
นัลลิสกล่าวว่า ภัยพิบัติดังกล่าวตอกย้ำถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบการพยากรณ์ในภูมิภาค ขยายขีดความสามารถในการรับมือ และเพิ่มการแบ่งปันข้อมูล ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเผชิญกับพายุไต้ฝุ่นรุนแรงทำสถิติโลก และไม่มีหน่วยงานหรือประเทศใดที่จะสามารถรับมือกับพายุหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เพียงลำพัง