In Focusจีนเดินหมากนำสหรัฐฯ งัด "แรร์เอิร์ธ" เป็นแต้มต่อ ก่อนประชุม "สี-ทรัมป์" เปิดฉาก

ข่าวต่างประเทศ Wednesday October 29, 2025 14:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ณ เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้ กำลังจะเปิดฉากขึ้นในสัปดาห์นี้ แต่ประเด็นที่ได้รับความสนใจมากที่สุดกลับเป็นการพบปะกันนอกรอบระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา

การหารือตัวต่อตัวครั้งแรกในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของทรัมป์นี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าที่ทวีความรุนแรงถึงขีดสุด ตลาดการเงินทั่วโลกต่างจับจ้องและคาดหวังว่าการเจรจาครั้งนี้จะนำไปสู่ข้อตกลงที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรงได้

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความคาดหวังเหล่านั้น นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งกลับมองว่า ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายของการประชุมจะออกมาเป็นอย่างไร ปักกิ่งได้คว้าชัยชนะไปแล้ว

ชัยชนะที่ว่านี้คือชัยชนะเชิงสัญลักษณ์และภูมิรัฐศาสตร์ที่จีนสามารถปรับเปลี่ยนพลวัตแห่งอำนาจและผลักดันให้สหรัฐฯ ต้องหันมาเจรจาในฐานะคู่แข่งที่ทัดเทียม การประชุมครั้งนี้จึงเป็นเสมือนการประกาศความสำเร็จของยุทธศาสตร์ระยะยาวที่จีนได้วางรากฐานเอาไว้อย่างมั่นคง เพื่อยืนยันสถานะมหาอำนาจใหม่บนเวทีโลก

เมื่อพญามังกรยิงบาซูก้า "แรร์เอิร์ธ" พลิกเกมเจรจาพญาอินทรี

ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ความขัดแย้งทางการค้ารอบล่าสุดนี้แตกต่างจากอดีตอย่างชัดเจน เพราะโดยปกติแล้ว เมื่อสหรัฐฯ ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจและกำลังทหารใหญ่ที่สุดในโลก ใช้มาตรการกดดันทางการค้า ประเทศส่วนใหญ่มักเลือกแนวทางประนีประนอมเพื่อลดผลกระทบ แต่เมื่อทรัมป์เปิดฉากสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบในครั้งนี้ จีนกลับเลือกตอบโต้ด้วยมาตรการของตนเองอย่างทันควันและเด็ดขาด

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดและนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกกฎเกณฑ์เพื่อจำกัดไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน และพุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมการขนส่งทางเรือ ซึ่งเป็นการยกระดับแรงกดดันที่นอกเหนือไปจากกำแพงภาษีที่สูงกว่า 50% โดยเฉลี่ยอยู่แล้ว ปักกิ่งตอบโต้ด้วยการประกาศขยายมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก หรือแรร์เอิร์ธ (Rare Earths) ซึ่งเป็นกลุ่มแร่ 17 ชนิดที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงแทบทุกแขนง ตั้งแต่การผลิตสมาร์ตโฟน ชิปเซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงยุทโธปกรณ์ทางการทหารอย่างขีปนาวุธนำวิถีและระบบเรดาร์

สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เรียกการเคลื่อนไหวนี้ว่า เป็นการยิง "บาซูก้า" ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวอชิงตันและห่วงโซ่อุปทานโลก เนื่องจากจีนมีสถานะเป็นผู้ผูกขาดตลาดในทางปฏิบัติ โดยควบคุมการทำเหมืองแร่หายากราว 60% และที่สำคัญกว่านั้นคือผลิตแม่เหล็กแร่หายาก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ปลายน้ำมูลค่าสูง เป็นสัดส่วนถึง 90% ของทั้งโลก

แรงกดดันนี้ทำให้ทรัมป์ขู่ที่จะขึ้นภาษีสินค้าจีนในอัตรา 100% ซึ่งจะส่งผลให้การค้าหยุดชะงัก แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองฝ่ายเองต่างก็ตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องกลับสู่โต๊ะเจรจาอย่างเร่งด่วนในการหารือนอกรอบที่มาเลเซีย ระหว่างเบสเซนต์ กับหลี่ เฉิงกัง หัวหน้าผู้เจรจาการค้าของจีน จนนำมาสู่การประชุมของสองผู้นำซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นที่เกาหลีใต้

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนจีนจะมีแต้มต่อ เพราะสถานการณ์นี้ทำให้สี จิ้นผิง ก้าวเข้าสู่ห้องประชุมในฐานะผู้นำที่สร้างบรรทัดฐานใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ จีนได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพร้อมที่จะเจรจา ควบคู่ไปกับการยืนยันว่าจะไม่ยอมถูกข่มขู่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป

หวัง เหวิน คณบดีสถาบันคลังสมองฉงหยางเพื่อการศึกษาทางการเงินแห่งมหาวิทยาลัยเหรินหมิน แสดงมุมมองเกี่ยวกับท่าทีของรัฐบาลปักกิ่งว่า "จีนนิ่งมากในการเผชิญหน้ากับความขัดแย้งและความยากลำบากทั้งหมดที่สหรัฐอเมริกาสร้างขึ้น"

เจ็บแล้วจำ จีนใช้ตำราสหรัฐฯ ตอกกลับศึกการค้า

บทวิเคราะห์จากบลูมเบิร์กชี้ให้เห็นว่า การตัดสินใจของจีนที่ใช้แร่หายากเป็นอาวุธนั้นมีที่มาจากเหตุการณ์ในอดีต โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีภารกิจสำคัญในการลบล้างสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "ศตวรรษแห่งความอัปยศ" ซึ่งเป็นช่วงเวลาในศตวรรษที่ 19 ที่จีนถูกมหาอำนาจตะวันตกรุกรานและบีบบังคับให้ทำสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม การทวงคืนเกียรติภูมิและสร้างชาติให้แข็งแกร่ง คือเป้าหมายสูงสุดที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยเหมา เจ๋อตุง

เดือนพฤษภาคม 2562 เมื่อสงครามการค้ากับสหรัฐฯ เริ่มปะทุขึ้นในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก สี จิ้นผิง ได้เดินทางไปยังอนุสรณ์สถานรำลึกถึง "การเดินทัพทางไกล" (Long March) ซึ่งเป็นตำนานแห่งความทรหดของพรรคคอมมิวนิสต์ และประกาศว่า "นี่คือการเดินทัพทางไกลครั้งใหม่ และเราต้องเริ่มต้นอีกครั้ง!" เป็นการส่งสัญญาณว่าจีนมองการเผชิญหน้าครั้งนี้เป็นบททดสอบสำคัญของชาติ

แต่เหตุการณ์สำคัญที่สร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจและการค้าโลกมาจนถึงปัจจุบัน เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน เมื่อสี จิ้นผิง พร้อมด้วยหัวหน้าผู้เจรจาการค้าของจีน เดินทางไปเยี่ยมชมบริษัท JL Mag Rare-Earth Co. ซึ่งเป็นผู้ผลิตแม่เหล็กแร่หายากชั้นนำ และกล่าวว่าแร่ธาตุเหล่านี้คือ "ทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ" หลังจากนั้นไม่นาน หนังสือพิมพ์ People's Daily กระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์ ก็ได้เผยแพร่บทบรรณาธิการที่แข็งกร้าวว่า "อย่าหาว่าเราไม่เตือน!"

ยุทธศาสตร์การใช้ข้อจำกัดทางการค้าเป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์นี้ คือสิ่งที่จีนเรียนรู้มาจากสหรัฐฯ โดยตรง ในยุคสงครามเย็น สหรัฐฯ ได้จัดตั้งระบบควบคุมการส่งออก และบังคับใช้กฎที่เรียกว่า Foreign Direct Product Rule เพื่อสกัดกั้นเทคโนโลยีไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของสหภาพโซเวียตและจีน อดีตผู้นำจีนอย่างเติ้ง เสี่ยวผิง เคยแสดงความไม่พอใจระหว่างการเยือนปักกิ่งของวอลเตอร์ มอนเดล รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2522 ว่า จีนไม่สามารถซื้อ "คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่" ได้ เพราะมีชิ้นส่วนจากอเมริกา มาวันนี้ จีนกำลังใช้กลยุทธ์แบบเดียวกันตอบโต้กลับ

เมื่อจีนก้าวข้าม "โรงงานโลก" สู่มหาอำนาจเทคโนโลยี

บลูมเบิร์กยังวิเคราะห์ต่อไปว่า อำนาจต่อรองของจีนไม่ใช่แค่การครองตลาดแร่หายาก หากแต่คือความแข็งแกร่งของภาคอุตสาหกรรมและการผลิตที่จีนได้สั่งสมมานานหลายทศวรรษ ภาพจำเดิม ๆ ที่ว่า "สหรัฐฯ สร้างนวัตกรรม จีนลอกเลียนแบบ" นั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อจีนได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกใน 5 จาก 13 เทคโนโลยีหลัก และกำลังไล่ตามมาติด ๆ ในอีก 7 สาขา ซึ่งรวมถึงปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์

ความแข็งแกร่งทางอุตสาหกรรมของจีนไม่ได้เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของรูปแบบการวางแผนจากส่วนกลางที่มุ่งเน้นเป้าหมายระยะยาวอย่าง "Made in China 2025" ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมการต่อเรือ ปัจจุบันจีนผลิตเรือบรรทุกสินค้ามากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก (วัดตามระวางน้ำหนัก) เพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งเพียง 5% ในปี 2542 ในทางตรงกันข้าม อู่ต่อเรือของสหรัฐฯ มีส่วนแบ่งเพียง 0.01%

นอกเหนือจากอุตสาหกรรมหนัก จีนยังเป็นผู้นำในเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซอฟต์แวร์ยานยนต์ แบตเตอรี่ลิเทียม และเป็นผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและต้นทุนต่ำที่สุดในโลก

เมื่อหันกลับไปมองดูสหรัฐฯ แม้รัฐบาลทรัมป์จะพยายามสร้างฐานการผลิตกลับคืนมา แต่ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งต้นทุนค่าแรงที่สูงกว่า กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด และนโยบายการเข้าเมืองที่ไม่แน่นอน ดังกรณีที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองได้เข้าควบคุมตัววิศวกรชาวเกาหลีที่กำลังติดตั้งอุปกรณ์ในโรงงานแบตเตอรี่แห่งใหม่ในรัฐจอร์เจีย จนทรัมป์ต้องออกมายอมรับเองว่า "เราไม่มีคนในประเทศนี้ที่รู้เรื่องแบตเตอรี่ บางทีเราควรจะช่วยพวกเขาและปล่อยให้คนบางส่วนเข้ามาฝึกอบรมคนของเรา"

เดจาวูบนโต๊ะเจรจา? ข้อตกลงที่อาจเป็นเพียงการซื้อเวลา

ขณะเดียวกัน บทวิเคราะห์จากรอยเตอร์ได้ตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของข้อตกลงใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการพบกันของสองผู้นำว่า อาจเป็นปรากฏการณ์เดจาวู โดยอ้างอิงถึงโพสต์บน Truth Social เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ซึ่งทรัมป์อ้างว่า "ข้อตกลงของเรากับจีนเสร็จสิ้นแล้ว รอการอนุมัติขั้นสุดท้ายกับประธานาธิบดีสีและผม ความสัมพันธ์ยอดเยี่ยมมาก!" แต่ท้ายที่สุดแล้ว ข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่เกิดขึ้นจริง และความสัมพันธ์กลับเลวร้ายลงกว่าเดิม

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า ข้อตกลงใด ๆ ก็ตามมีแนวโน้มจะเป็นเพียงการซื้อเวลาเพื่อลดความร้อนแรงในระยะสั้น แต่ยังคงทิ้งความขัดแย้งเชิงโครงสร้างไว้เช่นเดิม

แดเนียล เยอร์กิน รองประธาน S&P Global สะท้อนมุมมองดังกล่าวว่า "ความไว้วางใจระหว่างสหรัฐฯ กับจีนนั้น หมดสิ้นไปแล้ว" ขณะที่ เกรซ ฟ่าน จาก TS Lombard แสดงความเห็นว่า "บทใหม่ที่เต็มไปด้วยภยันตรายในภูมิรัฐศาสตร์และการค้าโลกได้เปิดฉากขึ้นแล้ว" ไม่ว่าผลการประชุมจะเป็นอย่างไรก็ตาม

แม้มูลค่าตลาดแร่หายากจะดูเล็กน้อยเพียง 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่มันกลับ "เชื่อมโยงกับผลผลิตทางเศรษฐกิจโลกมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์" ทำให้ภาคส่วนนี้กลายเป็นไพ่ตายที่มีอานุภาพสูงของจีน

มีความเป็นไปได้สูงที่ทั้งสองฝ่ายจะใช้ช่วงเวลาแห่งการพักรบนี้เพื่ออุดจุดอ่อนของตนเอง โดยจีนจะยังคงเดินหน้ากระจายตลาดส่งออกและพัฒนานวัตกรรมเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ในขณะที่สหรัฐฯ ก็กำลังพยายามสร้างห่วงโซ่อุปทานทางเลือกอย่างเร่งด่วน โดยมีรายงานว่าเพนตากอนได้เข้าถือหุ้นในบริษัท MP Materials Corp. เพื่อฟื้นฟูเหมืองแร่หายากในแคลิฟอร์เนียที่เคยถูกทิ้งร้างไป แต่นักวิเคราะห์มองว่านี่คือการต่อสู้ที่ยากลำบาก เพราะสหรัฐฯ "ขุดหลุมให้ตัวเองมานานกว่า 30 ปี" และการจะปีนกลับขึ้นมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ปักกิ่งบีบวอชิงตันยอมรับสถานะ "คู่แข่งที่ทัดเทียม"

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์ของการพบกันระหว่างสีกับทรัมป์ในครั้งนี้จะออกมาเป็นเช่นไร ชัยชนะที่แท้จริงของจีนได้เกิดขึ้นแล้วในสนามรบแห่งภูมิรัฐศาสตร์ การที่จีนสามารถใช้อำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจของตนเอง ผลักดันให้สหรัฐฯ ต้องลดท่าทีและกลับสู่โต๊ะเจรจา คือการประกาศให้โลกได้รับรู้ว่าดุลอำนาจโลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว จีนได้พิสูจน์ให้เห็นว่าตนเองได้พัฒนาจาก "โรงงานของโลก" มาสู่การเป็นมหาอำนาจเชิงยุทธศาสตร์ที่สามารถกำหนดกฎเกณฑ์บางอย่างในเกมได้

การประชุมครั้งนี้จึงมีความหมายลึกซึ้งกว่าการเจรจาการค้า มันคือการยอมรับสถานะใหม่ของจีนในฐานะคู่แข่งที่ทัดเทียมกับสหรัฐฯ และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่แห่งการแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจที่โลกจะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ