รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศย้ำความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับบาห์เรนในการประชุมติดตามผลกลางปี (Mid-Year Review) ไทย-บาห์เรน ครั้งที่ ๒
รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานร่วมในการประชุมติดตามผลกลางปี (Mid-Year Review) ไทย-บาห์เรน ครั้งที่ ๒ ณ กรุงมานามา โดยทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับบาห์เรนและการสนับสนุนซึ่งกันและกันในเวทีระหว่างประเทศ ตลอดจนพึงพอใจกับความก้าวหน้าในความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ต่าง ๆ
เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๔ นายดุสิต เมนะพันธุ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และ ดร. Shaikh Abdulla bin Ahmed Al Khalifa ปลัดกระทรวงการต่างประเทศบาห์เรน (ดูแลกิจการด้านการเมือง) เป็นประธานร่วมการประชุมติดตามผลกลางปี (Mid-Year Review) ไทย-บาห์เรน ครั้งที่ ๒ ที่กรุงมานามา
ทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับบาห์เรนในทุกระดับและการสนับสนุนซึ่งกันและกันทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี โดยทั้งสองฝ่ายพึงพอใจกับความก้าวหน้าในสาขาความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับบาห์เรน ได้แก่ สาธารณสุข การค้าและการลงทุน และความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะโครงการ Visiting Doctor Programme และการเปิดศูนย์การค้าและบริการไทย (Thai Mart) ในบาห์เรนเมื่อต้นปี ๒๕๖๔ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้เร่งส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานทดแทนและด้านฮาลาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมถึงการรับรองมหาวิทยาลัยไทยในบาห์เรนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกัน
ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue: ACD) อาเซียน และองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation) และได้แลกเปลี่ยนมุมมองต่อสถานการณ์สำคัญในภูมิภาค รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
ภายหลังการประชุมดังกล่าว รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศยังได้เข้าเยี่ยมคารวะ ดร. Abdul Latif Bin Rashid Al Zayani รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบาห์เรนด้วย
อนึ่ง การประชุมดังกล่าวริเริ่มขึ้นในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูง (High Joint Commission: HJC) ว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-บาห์เรน ครั้งที่ ๓ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เพื่อติดตามผลของการประชุมคณะกรรมธิการร่วมระดับสูงฯ โดยไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมติดตามผลกลางปี ครั้งที่ ๑ ที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ