ภาวะเศรษฐกิจสหภาพยุโรป เมษายน 2554

ข่าวเศรษฐกิจ Monday May 23, 2011 11:52 —กระทรวงการคลัง

บทสรุปผู้บริหาร

ภาพรวมเศรษฐกิจ
  • เศรษฐกิจเขตยูโรในไตรมาส 1 ของปี 2554 ขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 0.8 (%QoQ) และ ขยายตัวที่ร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (%YoY)
  • ปัจจัยสนับสนุนหลักที่ช่วยให้เศรษฐกิจเขตยูโรขยายตัวดีต่อเนื่องมาจากการที่เศรษฐกิจหลักขนาดใหญ่ (Core Economies) โดยเฉพาะ เยอรมนี และ ฝรั่งเศส ที่เติบโตดี จากการผลิตภาคอุตสาหกรรมในประเทศดังกล่าวได้รับอานิสงค์จากความต้องการซื้อจากต่างประเทศ (การส่งออก) ที่ดีขึ้น และความต้องการบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้น
  • อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจรอยขอบเขตยูโร (Peripheral Economies) โดยเฉพาะประเทศกลุ่ม PIIGS (โปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ กรีซ สเปน) ยังคงอ่อนแอจากปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะ
  • เครื่องชี้เศรษฐกิจในไตรมาส 2 ของปี 2554 ที่วัดจากดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อของการผลิตและการบริการ (Composite PMI) ในเดือนเม.ย. 2554 ยังคงขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศสยังเติบโตแข็งแกร่ง แต่ประเทศ PIIGS ยังชะลอตัว สะท้อนสภาพเศรษฐกิจของประเทศในเขตยูโรโซนที่แตกต่างกันมากขึ้น
เสถียรภาพเศรษฐกิจ
  • อัตราการว่างงานของกลุ่มยูโรโซนยังคงทรงตัวในระดับสูงที่ 9.9% ของกาลังแรงงาน เนื่องจากประเทศกลุ่ม PIIGS มีอัตราการว่างงานสูงมาก โดยเฉพาะสเปนที่ว่างงาน 20.7% ไอร์แลนด์ 14.7% แต่เยอรมนีมีอัตราการว่างงานลดลงเหลือ 6.3%
  • อัตราเงินเฟ้อเขตยูโรโซนในเดือนเม.ย.54 เร่งตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.8 ต่อปี สูงกว่ากรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของธนาคารกลางยุโรปที่ร้อยละ 2 ต่อปี เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน
ภาคการเงินและภาคการคลัง
  • ธนาคารกลางยุโรปขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.25 ในเดือนเม.ย. แต่ตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 ในเดือนพ.ค. เพื่อรอดูสถานการณ์การฟื้นตัวเศรษฐกิจที่เปราะบางจากวิกฤติหนี้สาธารณะในกลุ่ม PIIGS
  • โปรตุเกส เป็นประเทศที่ 3 ในเขตยูโรโซน ต่อจากกรีซและไอร์แลนด์ ที่ต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF และ EU โดยได้รับอนุมัติวงเงินช่วยเหลือจำนวน 78 พันล้านยูโร
ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2554

เศรษฐกิจยูโรไตรมาส 1 ขยายตัวดี จากเศรษฐกิจหลักขนาดใหญ่ เช่น เยอรมนีและฝรั่งเศสขยายตัวดี แม้ว่าเศรษฐกิจขนาดเล็กรอบเขตยูโรชะลอตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจ

อัตราขยายตัวเศรษฐกิจในเขตยูโร 17 ประเทศ (Euro area: EA17) ในไตรมาส 1 ปี 2554 ขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่รอ้ ยละ 0.8 (quarter on quarter: %QoQ) และร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (year on year: %yoy) ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4 ปี ก่อน โดยสาเหตุหลักที่เศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี ยังขยายตัวได้ต่อเน่อื งมาจากการที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่ของประเทศหลัก (Core Economies) ในเขตยูโรโซน โดยเฉพาะเยอรมนี ซึ่งมีขนาดร้อยละ27 ของเศรษฐกิจยูโร และ ฝรัง่ เศส ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 21 ของเศรษฐกิจยูโร ยังขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ1.5 (%QoQ) และร้อยละ 1.0 (%QoQ) ตามลำดับแม้ว่าเศรษฐกิจในรอยขอบเขตยูโรโซน (Periphery)เช่น อิตาลี สเปน โปรตุเกส ยังขยายตัวในอัตราต่าหรือหดตัวจากปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในประเทศ

เครื่องชี้เศรษฐกิจไตรมาส 2 ของปี 2554

เครื่องชี้เศรษฐกิจเขตยูโรในเดือนเม.ย.54 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเยอรมนีและฝรั่งเศสเติบโตดี แต่เศรษฐกิจรอยขอบยูโรยังคงชะลอตัว สะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกันมากขึ้น

เครื่องชี้เศรษฐกิจในเดือนเมษายน 2554 ซึ่งเป็นเดือนแรกของไตรมาสที่ 2 ซึ่งวัดจากดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อรวมของภาคบริการและภาคการผลิต (Composite Purchasing Managers Index: Composite PMI) ของเศรษฐกิจในเขตยูโร บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจในเขตยูโรโซนโดยรวมยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปี 2554 โดยดัชนี Composite PMI ในเดือนเมษายนปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 57.8 จุด เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนมีนาคมที่อยู่ที่ 57.6 จุด

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาเครื่องชี้ Composite PMI เป็นรายประเทศ (ตามรูปด้านล่าง) จะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนได้รับปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจหลัก (Core Economies) โดยเฉพาะฝรั่งเศสและเยอรมนี ที่มีดัชนียอดคาสั่งซื้อของสินค้าและบริการในระดับสูง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากคาสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ (การส่งออก) และการบริโภคในประเทศ ที่ยังเติบโตดี ขณะที่ดัชนียอดคาสั่งซื้อในเขตรอยขอบยูโร (Periphery) เช่น อิตาลี สเปน และไอร์แลนด์ ยังคงอยู่ในระดับต่า เนื่องจากเผชิญปัญหาหนี้สาธารณะที่จาเป็นต้องตัดงบประมาณรายจ่ายภาครัฐและการลดรายจ่ายภาคเอกชนที่ประสบกับปัญหาการว่างงาน

เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ

อ้ตราการว่างงานในเขตยูโรยังคงทรงตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 9.9 ของกาลังแรงงานจากประเทศรอยขอบยูโร (Periphery)ที่ว่างงานสูงมาก แม้เยอรมนีจะว่างงานลดลง

อัตราการว่างงานที่ปรับตามฤดูกาลแล้วของประเทศในเขต Euro area 17 ประเทศ ประจาเดือนมีนาคม 2554 ยังคงทรงตัวระดับสูงที่ร้อยละ 9.9 ของกาลังแรงงาน โดยแม้ว่าในเยอรมนี ซึ่งมีขนาดของระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโร จะมีอัตราการว่างงานลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 6.3 ในเดือนมีนาคม แต่อัตราการว่างงานในประเทศรอยขอบยูโร (Periphery) ได้แก่ สเปน ไอร์แลนด์ และ โปรตุเกส ยังอยู่ในระดับสูงมากที่ร้อยละ 20.7 ร้อยละ 14.7 และร้อยละ 11.1 ตามลาดับ ส่งผลให้อัตราว่างงานในเขตยูโรยังคงทรงตัวในระดับสูง

เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ

เงินเฟ้อเขตยูโรโซนเร่งตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.8 ต่อปี ในเดือนเมษายน 2554 สูงกว่าเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 2 ต่อปี เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่คานวณจากดัชนีราคาผู้บริโภค (Harmonised Index of Consumer Prices: HICP) ของเศรษฐกิจในเขตยูโร Euro Area ประจาเดือนเมษายน 2554 ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 2.8% ต่อปี (%yoy) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากร้อยละ 2.7 ต่อปี ในเดือนมีนาคม ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเกินกว่ากรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของธนาคารกลางยุโรปที่กาหนดให้อัตราเงินเฟ้อ(Inflation Targeting) สูงไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน สาเหตุหลักที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก มาจากการที่ราคาสินค้าในหมวดพลังงานปรับตัวสูงขึ้นจากร้อยละ 12.5 ต่อปี ในเดือนเมษายน ตามการเพิ่มขึ้นของราคาน้ามันในตลาดโลกอันเป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาความไม่สงบในประเทศที่เป็นแหล่งผลิตน้ามันในตะวันออกกลาง

สำหรับอัตราเงินเฟ้อฟื้นฐาน (Core Infation) ที่คานวณจากดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่รวมราคาสินค้าในหมวดอาหารและหมวดพลังงาน (HICP excluding food and energy) ในเดือนเมษายน 2554 ได้เร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี ลดลงจากร้อยละ 1.3 ในเดือนมีนาคม 2554 ซึ่งสาเหตุหลักที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเขตยูโรสูงขึ้นในเดือนนี้ มาจากการเพิ้มขึ้นของราคาสินค้าบริการเป็นหลัก โดยเฉพาะราคาของการบริการขนส่งสาธารณะที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุด Easter ที่อยู่ในช่วงปลายเดือนเมษายน

การเร่งตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและการที่อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อต่อเนื่อง ได้ส่งผลให้ตลาดการเงินคาดว่าธนาคารกลางของยุโรป (Eurepean Central Bank: ECB) น่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ภายใต้กรอบเป้าหมายของเงินเฟ้อ

อัตราดอกเบี้ย

ECB ขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ในเดือนเม.ย. และตรึงดอกเบี้ยที่ร้อยละ 1.25 ในเดือนพ.ค.เพื่อรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวเปราะบางจากวิกฤติหนี้สาธารณะในกลุ่ม PIIGS

หลังจากคณะกรรมการธนาคารกลางสหภาพยุโรป (European Central Bank: ECB) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย Market Refinancing Operations (MRO) อีกร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.25 ในเดือนเมษายน 2554ที่ผ่านมา ธนาคาร ECB ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับร้อยละ 1.25 ในเดือนพฤษภาคม 2554 เพื่อรอดูสถานการณ์การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรที่ยังคงเปราะบางจากปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในประเทศโปรตุเกส ไอร์แลนด์ กรีซ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประเทศโปรตุเกส จาเป็นต้องขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งกลายเป็นประเทศที่สามในเขตยูโรโซนที่ต้องขอรับความช่วยเหลือทางการเงินต่อจากประเทศกรีซ และไอร์แลนด์ อย่างไรก็ดี ประธานคณะกรรมการธนาคารกลางสหภาพยุโรปได้ให้ความเห็นว่าจะยังคงติดตามสถานการณ์เงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด ทาให้ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรปอาจจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นครั้งต่อไปในเดือนกรกฎาคมปี 2554 นี้

อัตราแลกเปลี่ยน

ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ หลังจากที่ ECB ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 1.25 ในวันที่ 5 พ.ค.54

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลัก ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ ปอนด์สเตอริง และเยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ธนาคารกลาง ECB ประกาศตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางไว้ที่ร้อยละ 1.25 เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2554 ประกอบกับ ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่มรอยขอบยูโร (Periphery) ได้ทวีความรุนแรงขึ้น จนโปรตุเกสกลายเป็นประเทศที่สามของกลุ่มยูโรโซนที่ต้องขอรับความช่วยเหลือจากสหภาพยุโรปและ IMF และตลาดการเงินเริ่มคาดการณ์ว่าประเทศกรีซอาจจะต้องประกาศปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (งดชาระหนี้ หรือ ยืดอายุชาระหนี้) ได้กระตุ้นให้นักลงทุนระหว่างประเทศ แห่ถอนเงินออกจากยุโรปไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลหลักอื่นๆ ส่งผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินปอนด์สเตอริงประมาณร้อยละ 1.69 โดยช่วงต้นเดือนเมษายน 2554 ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับปอนด์อยู่ที่ประมาณ 0.88 ปอนด์/ยูโร ได้อ่อนลงมาอยู่ที่ 0.86 ปอนด์/ยูโร ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2554 สาหรับค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ได้อ่อนค่าลงเช่นกันประมาณร้อยละ 1.06 ในรอบเดือนที่ผ่านมา โดยค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นเดือนเมษายนอยู่ที่ 1.44 $/ยูโร ได้อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 1.42 $/ยูโร ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ขณะที่ค่าเงินยูโรเทียบกับค่าเงินเยนก็มีทิศทางอ่อนลงค่อนข้างมากที่ประมาณร้อยละ 5.11 เนื่องจากบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งได้ส่งเงินกลับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติในช่วงต้นเดือนเมษายน ส่งผลให้ค่าเงินเยนยิ่งแข็งขึ้น และค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนจึงอ่อนลงจากที่ประมาณ 122 เยน/ยูโร ในช่วงต้นเดือนเมษายน มาอยู่ที่ 115.98 เยน/ยูโร ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2554

ประเด็นเศรษฐกิจสาคัญ ๆ ในรอบเดือนที่ผ่านมา
  • กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และคณะกรรมการสหภาพยุโรป (EU) ได้อนุมัติวงเงินช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศโปรตุเกส จานวน 78 พันล้านยูโร โดยแบ่งเป็นเงินกู้จาก IMF จานวน 26 พันล้านยูโร จากกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินของยูโร European Financial Stability Facility (EFSF) จานวน 26 พันล้านยูโร และจากกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินของสหภาพยุโรป European Financial Stability Mechanism (EFSM) จานวน 26 พันล้านยูโร ทั้งนี้ ประเทศโปรตุเกส ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กาหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับลดการขาดดุลการคลัง จากร้อยละ 9.1 ของ GDP ในปี 2010 เหลือร้อยละ 5.9 ของ GDP ในปี 2011 และร้อยละ 3 ของ GDP ในปี 2012

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ