บทสรุปผู้บริหาร
- Eurostat ประกาศยืนยันตัวเลข Second Estimate ของ GDP เขตยูโรในไตรมาส 1 ของปี 2554 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.8 จากไตรมาสก่อนหน้า (%QoQ) และ ขยายตัวที่ร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (%YoY)
- ปัจจัยสนับสนุนหลักที่ช่วยให้เศรษฐกิจเขตยูโรขยายตัวดีต่อเนื่องมาจากการลงทุนที่เร่งตัวขึ้นร้อยละ 2.1 จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งได้รับผลกระทบจากอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติ และการส่งออกที่ขยายตัวร้อยละ 1.8 จากไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับอานิสงค์จากค่าเงินยูโรที่อ่อนลง
- เครื่องชี้เศรษฐกิจในไตรมาส 2 ของปี 2554 ที่วัดจากดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อของการผลิตและการบริการ (Composite PMI) ในเดือนพ.ค.54 เริ่มปรับตัวลดลงในทุกประเทศ บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 2 มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราชะลอลงจากไตรมาสแรก
- อัตราว่างงานของยูโรโซนในเดือนเม.ย.ยังคงทรงตัวในระดับสูงที่ 9.9% เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน แม้ว่าอัตราการว่างงานในประเทศหลัก (Core Countries) โดยเฉพาะเยอรมนีและฝรั่งเศส จะลดลง แต่ประเทศรอยขอบ (Periphery) ยังมีอัตราการว่างงานสูงมาก โดยเฉพาะสเปน (20.7%) ไอร์แลนด์ (14.7%) และโปรตุเกส (12.6%)
- อัตราเงินเฟอเขตยูโรโซนในเดือนพ.ค.54 ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน อยู่ที่ร้อยละ 2.7 ต่อปี เนื่องจากราคาในหมวดพลังงานปรับตัวลดลงตามราคาน้ามันในตลาดโลก อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อเขตยูโรยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของธนาคารกลางยุโรปที่ร้อยละ 2 ต่อปี เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน
- ธนาคารกลางยุโรปประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 ในเดือน พ.ค. และ มิ.ย. เนื่องจากสถานการณ์การฟื้นตัวเศรษฐกิจที่อ่อนแอ แต่แสดงความกังวลต่อทิศทางเงินเฟอที่สูงกว่าเปาหมายของธนาคารกลางต่อเนื่อง ทาให้ตลาดคาดการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนหน้า
- ในช่วงที่ผ่านมา กรีซถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือหลายครั้ง จนตลาดเงินคาดกรีซอาจต้องประกาศพักหนี้ Default หรือ ยืดอายุชาระหนี้ Debt Restructuring และอาจต้องขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF และ EU เพิ่มเติม ส่งผลใหค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงมาก
- เศรษฐกิจยูโรไตรมาส 1 ขยายตัวดีขึ้น โดยได้รับปจจัยสนับสนุนจากการลงทุนก่อสร้าง ที่เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติ
ในวันที่ 8 มิถุนายน 2554 สานักงานสถิติแห่งชาติยุโรป (Eurostat) ได้ประกาสยืนยันตัวเลขอัตราขยายตัวเศรษฐกิจครั้งที่ 2 (Second Estimate) ของประเทศในเขตยูโรโซน 17 ประเทศ (Euro area: EA17) ในไตรมาส 1 ปี 2554 ว่าขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 0.8 (quarter on quarter: %QoQ) และร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (year on year: %yoy) ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4 ปีก่อน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุน (Total Investment) ที่ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 2.1 %QoQ จากไตรมาสก่อนหน้าที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างต้องหยุดชงักเนื่องจากได้รับผลกระทบของสภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติ นอกจากนั้น การส่งออก (Real Export) ของประเทศในเขตยูโร ยังเติบโตได้ดีที่ร้อยละ 1.8%QoQ โดยได้รับอานิสงค์จากค่าเงินยูโรที่อ่อนลงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption) ในไตรมาสแรกของปี 2554 ขยายตัวในอัตราคงที่จากไตรมาสก่อนหน้าที่ร้อยละ 0.3 %QoQ สะท้อนการบริโภคภาคเอกชนที่ยังคงเปราะบางเนื่องจากประเทศในเขตยูโรยังมีคนว่างงานอยู่จานวนมาก ขณะที่การใช้จ่ายบริโภครัฐบาลในไตรมาสแรกปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.8 %QoQ
- เครื่องชี้เศรษฐกิจเขตยูโรจากดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อในเดือน พ.ค.54 เริ่มปรับตัวลดลงบ่งชี้เศรษฐกิจในไตรมาส 2 มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราชะลอตัวลงจากไตรมาสแรก
เครื่องชี้เศรษฐกิจในเดือนพฤษภาคม 2554 ซึ่งวัดจากดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อรวมของภาคบริการและภาคการผลิต (Composite Purchasing Managers Index: Composite PMI) ของเศรษฐกิจในเขตยูโร บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจในเขตยูโรโซนมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกของปี 2554 ดังจะเห็นได้จาก ดัชนี Composite PMI ในเดือนพฤษภาคมที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 55.8 จุด ลดลงจากเดือนเมษายนที่อยู่ที่ 57.8 จุด
เมื่อพิจารณาเครื่องชี้ Composite PMI เป็นรายประเทศ (ตามรูปด้านล่าง) จะเห็นได้ว่า ดัชนี Composite PMI ของทุกประเทศในเขตเศรษฐกิจยูโรโซนปรับตัวลดลง แม้ว่าดัชนียอดคาสั่งซื้อของสินค้าและบริการของเศรษฐกิจหลัก (Core Economies) เช่น ฝรั่งเศสและเยอรมนี จะยังอยู่ในระดับสูง แต่ก็มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากยอดคาสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ (การส่งออก) เริ่มปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกและส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากคาสั่งซื้อจากญี่ปุนที่ลดลงหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว นอกจากนี้ ดัชนียอดคาสั่งซื้อในเขตรอยขอบยูโร (Periphery) เช่น อิตาลี สเปน และไอร์แลนด์ได้ปรับตัวลดลงมาก เนื่องจากเผชิญปญหาหนี้สาธารณะและปญหาการว่างงานสูง
- อ้ตราการว่างงานในเขตยูโรทรงตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 9.9 เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน แม้คนว่างงานในประเทศหลักจะลดลง แต่ประเทศรอยขอบยังมีคนว่างงานสูงมาก
อัตราการว่างงานที่ปรับตามฤดูกาลแล้วของประเทศในเขต Euro area 17 ประเทศ ในเดือนเมษายน 2554 ทรงตัวระดับสูงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันที่ร้อยละ 9.9 ของกาลังแรงงาน โดยแม้ว่าจานวนคนว่างงานในประเทศเศรษฐกิจหลัก (Core Countries) โดยเฉพาะเยอรมนี ฝรั่งเศส จะมีอัตราการว่างงานลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการว่างงานในประเทศรอยขอบยูโร (Periphery) โดยเฉพาะสเปน ไอร์แลนด์ และ โปรตุเกส ยังอยู่ในระดับสูงมากที่ร้อยละ 20.7 ร้อยละ 14.7 และร้อยละ 12.6 ตามลาดับ ส่งผลให้อัตราว่างงานในเขตยูโรยังคงทรงตัวในระดับสูง
- เงินเฟ้อเขตยูโรโซนในเดือนพ.ค. ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.7 ต่อปีซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน
อัตราเงินเฟอทั่วไปที่คานวณจากดัชนีราคาผู้บริโภค (Harmonised Index of Consumer Prices: HICP) ของเศรษฐกิจในเขตยูโร Euro Area ประจาเดือนพฤษภาคม 2554 ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน มาอยู่ที่ร้อยละ 2.7% ต่อปี (%yoy) เทียบกับเดือนเมษายนที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 ต่อปี สาเหตุหลักที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟอในเดือนพฤษภาคมปรับตัวลดลง มาจากการที่ราคาสินค้าในหมวดพลังงานปรับตัวลดลงร้อยละ 1.3 ต่อปี ในเดือนพฤษภาคม ตามการลดลงของราคาน้ามันในตลาดโลก นอกจากนั้น การปรับลดของอัตราเงินเฟอดังกล่าวยังเป็นผลมาจากการที่ฐานของราคาสินค้าในเดือนก่อนปรับตัวสูงขึ้นผิดปกติเนื่องจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าในช่วงเทศการ Easter ที่ตกอยู่ในช่วงปลายเดือนเมษายน
สำหรับอัตราเงินเฟอฟื้นฐาน (Core Infation) ที่คานวณจากดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่รวมราคาสินค้าในหมวดอาหารและหมวดพลังงาน (HICP excluding food and energy) ในเดือนพฤษภาคม 2554 ได้ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี จากร้อยละ 1.6 ต่อปี ในเดือนเมษายน ลดลงจากร้อยละ 1.3 ในเดือนมีนาคม 2554
แม้ว่าอัตราเงินเฟอในเดือนพฤษภาคมจะเกินกว่ากรอบเปาหมายอัตราเงินเฟอของธนาคารกลางยุโรปที่กาหนดให้อัตราเงินเฟอ(Inflation Targeting) ไม่ให้เกินร้อยละ 2 ต่อปี เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน แต่การที่อัตราเงินเฟอปรับตัวลดลงเล็กน้อย ได้ส่งผลให้ธนาคารกลางของยุโรป (Eurepean Central Bank: ECB) ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
- ECB ตรึงดอกเบี้ยที่ร้อยละ 1.25 ในเดือนพ.ค. และเดือน มิ.ย. แต่ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟอที่สูงกว่าเปาหมาย
ธนาคารกลางยุโรป ECB ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับร้อยละ 1.25 ในเดือนพฤษภาคมและในเดือนมิถุนายน 2554 เพื่อรอดูสถานการณ์การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรที่ยังคงเปราะบางจากปญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในประเทศโปรตุเกส ไอร์แลนด์ กรีซ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตลาดการเงินได้กังวลกับปญหาการขาดความสามารถชาระหนี้สาธารณะของประเทศกรีซเป็นอย่างมาก เนื่องจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายแห่งได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศกรีซอยู่ต่ากว่าระดับน่าลงทุน ประกอบกับแรงกดดันเงินเฟอของประเทศในเขตยูโรโซนในเดือนพฤษภาคมได้ปรับตัวลดลงบ้างเล็กน้อย ส่งผลให้ธนาคารกลางยังสามารถชะลอการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจให้ชัดเจนก่อน (Wait-andSee Strategy) อย่างไรก็ดี ประธานคณะกรรมการธนาคารกลางสหภาพยุโรปได้ให้ความเห็นในการแถลงข่าวว่าจะยังคงเกาะติดเฝาระวังสถานการณ์เงินเฟอในยุโรปอย่างใกล้ชิด ทาให้ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรปอาจจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นครั้งต่อไปในเดือนกรกฎาคมปี 2554 นี้
- ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับปญหาหนี้เสียในกรีซ
ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลัก ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ ปอนด์สเตอริง และเยน เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศกังวลกับปัญหาหนี้สาธารณะในกรีซที่ทวีความรุนแรงขึ้น และตลาดการเงินเริ่มคาดการณ์ว่าประเทศกรีซอาจจะต้องประกาศปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (งดชาระหนี้ หรือ ยืดอายุชาระหนี้) ส่งผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินปอนด์สเตอริงประมาณร้อยละ 1.24 โดยช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2554 ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับปอนด์อยู่ที่ประมาณ 0.89 ปอนด์/ยูโร ได้อ่อนลงมาอยู่ที่ 0.879 ปอนด์/ยูโร ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2554 สำหรับค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ได้อ่อนค่าลงมากที่ร้อยละ 2.79 ในรอบเดือนที่ผ่านมาโดยค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 1.48 $/ยูโร ได้อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 1.44 $/ยูโร ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ขณะที่ค่าเงินยูโรเทียบกับค่าเงินเยนก็มีทิศทางอ่อนค่ามากที่ประมาณร้อยละ 3.20 โดยค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนอ่อนลงจากที่ประมาณ 120 เยน/ยูโร ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม มาอยู่ที่ 116.57 เยน/ยูโร ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2554
สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายแห่งได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลกรีซต่ากว่าระดับที่ลงทุนได้ โดยล่าสุด สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Standard and Poor (S & P) ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถอืของกรีซลงเป็นระดับต่าที่สุดสาหรับหนี้ที่ยังไม่ผิดนัดชาระ ส่งผลให้ตลาดการเงินคาดว่ารัฐบาลกรีซอาจจะต้องประกาศพักชาระหนี้ Default หรือ ยืดอายุการชาระหนี้ Debt Restructuring และอาจต้องขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และคณะกรรมการสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มเติมจากวงเงินช่วยเหลือเดิมทีได้รับอนุมัติวงเงินช่วยเหลือไปแล้ว จานวน 110 พันล้านยูโร ดังนั้น หลายฝ่ายจึงคาดว่าปัญหาหนี้สาธารณะในเขตยูโรโซนจะยืดเยื้อ และเป็นเหตุให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th