รายงานภาวะเศรษฐกิจรายสัปดาห์ (Weekly) ณ 28 ม.ค. 65

ข่าวเศรษฐกิจ Monday January 31, 2022 14:24 —กระทรวงการคลัง

เศรษฐกิจไทย
ExecutiveSummary

เศรษฐกิจไทยการเบิกจ่ายงบประมาณรวมในเดือน ธ.ค. ปีงบประมาณ 65ขยายตัวร้อยละ 4.2ต่อปีรัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ (หลังหักจัดสรรให้ อปท.) ในเดือน ธ.ค. ปีงบประมาณ 65 ขยายตัวร้อยละ 0.7ต่อปีฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในเดือน ธ.ค. ปีงบประมาณ 65ขาดดุลจำนวน -107,965ล้านบาทภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลจัดเก็บได้ ณ ระดับราคาคงที่ในเดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวร้อยละ 25.8 ต่อปีภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวร้อยละ 7.8 ต่อปีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยในเดือน ธ.ค. 64ขยายตัวร้อยละ 3,415.8 ต่อปีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือน ธ.ค. 64 หดตัวร้อยละ -29.1เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือน ธ.ค. 64 หดตัวร้อยละ -10.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

เศรษฐกิจต่างประเทศGDP สหรัฐฯ ไตรมาสที่ 4ปี 64ขยายตัวที่ร้อยละ 5.5จากช่วงเดียวกันของปีก่อนGDPฟิลิปปินส์ ไตรมาสที่ 4 ปี 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 7.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อนGDPเกาหลีใต้ ไตรมาสที่ 4 ปี 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 4.1จากช่วงเดียวกันปีก่อนGDPไต้หวัน ไตรมาสที่ 4 ปี 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 4.9จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยการเบิกจ่ายงบประมาณรวมในเดือน ธ.ค. ปีงบประมาณ 65เบิกจ่ายได้ทั้งสิ้น 291,744 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 4.2 ต่อปี ทำให้ไตรมาสแรกเบิกจ่ายได้ 1,059,145 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 4.0 คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 31.7 โดย (1) รายจ่ายปีปัจจุบัน เบิกจ่ายได้ รายการ261,524 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.8 ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 4.8 ทั้งนี้ แบ่งออกเป็น (1.1) รายจ่ายประจำ 238,407 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 6.9 ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 2.4 และ (1.2) รายจ่ายลงทุน 23,117 ล้านบาท หดตัวร้อยละ -4.6 ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 32.8 (2) รายจ่ายปีก่อน เบิกจ่ายได้ 30,221 ล้านบาท หดตัวที่ร้อยละ -7.8ต่อปี         คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ -5.3 ต่อปีรัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ (หลังหักจัดสรรให้ อปท.) ในเดือน ธ.ค. ปีงบประมาณ 65ได้ 195,243  ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 0.7 ต่อปี ทำให้ไตรมาสแรกจัดเก็บได้ 557,174 ล้านบาทขยายตัวร้อยละ5.6 ต่อปีโดยรายได้ขยายตัวจากภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัวร้อยละ 28.7ต่อปี ภาษีเงินได้นิติบุคคล ขยายตัวร้อยละ 25.8ต่อปี  และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขยายตัว       ร้อยละ 13.9ต่อปี เนื่องจากการจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในเดือน ธ.ค. ปีงบประมาณ 65พบว่า ดุลเงินงบประมาณขาดดุลจำนวน -107,965 ล้านบาท

ทั้งนี้เมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณแล้วพบว่าขาดดุล -39,862 ล้านบาท ดุลเงินสดก่อนกู้ขาดดุล -147,827 ล้านบาท โดยในเดือนนี้ รัฐบาลมีการกู้เงิน 55,105 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสุดหลังกู้ขาดดุล -92,722 ล้านบาท ทั้งนี้จำนวนเงินคงคลังปลายงวดอยู่ที่ 337,182ล้านบาท เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลจัดเก็บได้ ณ ระดับราคาคงที่ในเดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 25.8 ต่อปีและเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล ขยายตัวที่ร้อยละ 8.8 โดยเป็นขยายตัวต่อเนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในประเทศ เนื่องจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในช่วงปลายปี รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของภาครัฐ และทิศทางของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น เช่นเดียวกันกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการนำเข้าที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากทิศทางการนำเข้าของประเทศที่ขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะสินค้าเชื้อเพลิงจากการกลับมาเดินทางท่องเที่ยวและการดำเนินชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น รวมถึงการลงทุนและกำลังซื้อที่กลับมาฟืนตัวหลังจากการแพร่ระบาดฯ ในช่วงกลางปีภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 7.8 ต่อปี และขยายตัวร้อยละ 2.1 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังปรับผลทางฤดูกาล การจัดเก็บภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 4.1 และเป็นการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 สอดคล้องกับความเชื่อมั่นของการบริโภคที่เพิ่มขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการ LTVการกระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่เป็นไปตามแผนงานที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ รวมถึงนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล และมาตรการต่างๆ ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้กำลังซื้อภายในประเทศเริ่มฟืนตัว ขณะที่ในปี 65 แนวโน้มภาคอสังหาฯ คาดว่าจะฟืนตัวได้ดีตามเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการที่ช่วยสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการต่ออายุมาตรการการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนที่จะช่วยดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย แลกสิทธิประโยชน์ทำวีซ่าผู้พำนักเวลา 10 ปี ใน 4 กลุ่ม เป้าหมาย จะช่วยเพิ่มดีมานด์ที่อยู่อาศัยจากนักลงทุนชาวต่างชาติได้มากขึ้น

เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยเดือน ธ.ค. 64 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 21 เดือน จากอานิสงค์ของการเปิดประเทศขณะจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอานิสงค์จากวันหยุดส่งท้ายปี

ในเดือน ธ.ค. 64 นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย จำนวน 230,497 คน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขยายตัวสูงที่ร้อยละ 3,415.8 ต่อปี และเมื่อขจัดผลทางฤดูการพบว่าขยายตัวที่ร้อยละ 100.7 โดยได้รับอานิสงค์จากมาตรการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวจาก 63 ประเทศให้เข้ามาไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว (Test and Go)แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะมีการงดลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 64 จากการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน และจะเปิดให้ลงทะเบียนใหม่อีกครั้งในวันที่ 1 ก.พ. 65

ขณะที่การท่องเที่ยวของชาวไทย สะท้อนจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยในเดือน ธ.ค. 64 มีจำนวน 15.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 คิดเป็นการขยายตัวที่ร้อยละ 4.7 ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 6 เดือน และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลแล้วขยายตัวที่ร้อยละ 31.8 โดยมีสาเหตุมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงดังกล่าวและเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวในช่วงสิ้นปีและปีใหม่

สำหรับภาคการท่องเที่ยวของไทยในปี 64 ที่ผ่านมานั้น โดยภาพรวมยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ปี 64 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทยเพียง 4.3 แสนคน ลดลงจากปีก่อนที่ร้อยละ -93.6 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่ สศค. คาดการณ์ไว้ที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งปีอยู่ที่ 1.8 แสนคน ขณะที่จำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยมีจำนวน 77.9 ล้านคน หดตัวร้อยละ -41.7 ต่อปี เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือน ธ.ค. 64 มีจำนวน 27,052คัน หดตัวที่ร้อยละ -29.1เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล หดตัวที่ ร้อยละ -2.4

โดยเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ "OMICRON"ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์และรายได้ในอนาคตของผู้บริโภค ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนและเซมิคอนดักเตอร์ที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลให้ภาคการผลิตรถยนต์ต้องชะลอการผลิตรถยนต์บางรุ่นลงชั่วคราว และปัจจัยฐานสูงในปีก่อน เนื่องจากในเดือนธันวาคม 2563 เป็นเดือนที่มียอดขายรถยนต์ในประเทศเกิน 100,000 คัน หลังจากสิ้นสุดโครงการรถยนต์คันแรก สะท้อนถึงตลาดรถยนต์ที่เริ่มฟืนตัวในช่วงนั้นปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือน ธ.ค. 64มีจำนวน 59,093คัน หดตัวร้อยละ -10.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวร้อยละ 1.7เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังปรับผลทางฤดูกาลยอดจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ เดือน ธ.ค. หดตัวลงตามยอดจำหน่ายรถกระบะ 1ตัน ที่หดตัวร้อยละ -16.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากปัญหาการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อยอดจองรถยนต์ในงาน MotorExpo2021ให้ลดลงจากปีก่อนร้อยละ -6.4และปัญหาขาดแคลนชิปที่ทำให้ต้องหยุดการผลิตรถยนต์ในบางรุ่นเป็นระยะ ๆ อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเมื่อเทียบรายเดือนหลังหักผลของฤดูกาล ยอดจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ในปี 65 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มเห็นทิศทางการควบคุมได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาฟืนตัวได้มากขึ้น ปัญหาการขาดแคลนชิปที่เริ่มลดลง ประกอบกับการออกมาตรการอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภค จะเพิ่มความมั่นใจในการจับจ่ายของประชาชนและส่งผลดีต่อยอดขายรถมากขึ้น

เครื่องชี้เศรษฐกิจต่างประเทศGDPไตรมาสที่ 4 ปี 64ขยายตัวเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 5.5 จากช่วงการขยายตัวที่ร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (หลังขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว) ส่งผลให้ GDPปี 64ขยายตัวที่ร้อยละ 5.7จากช่วงเดียวกันของปีก่อน11.9จากเดือนก่อนหน้า (ขจัดผลทางฤดูกาล)เป็นผลจากยอดขายในมิดเวสต์ (Midwest)และภาคใต้ ที่ขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าดัชนีราคากลางบ้าน เดือน ธ.ค. 64ขยายตัวร้อยละ 1.1จากเดือนก่อนหน้า (ขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว)คงที่จากเดือนก่อนหน้า และหากเทียบเป็นรายปีพบว่าดัชนีขยายตัวเร่งขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ร้อยละ 17.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (16-22ม.ค. 65) อยู่ที่ระดับ2.60แสนรายปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 2.90แสนราย เป็นการกลับมาลดลงครั้งแรกในรอบ 4สัปดาห์ บ่งชี้ถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโอมิครอนต่อตลาดแรงงานเริ่มปรับตัวลดลงคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC)มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับต่ำที่ร้อยละ 0.00-0.25ต่อปี และส่งสัญญาณเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็ว ๆ นี้ รวมถึงจะมีการปรับลดงบดุลตามมาดัชนีฯ PMIภาคอุตสาหกรรม (เบื้องต้น)เดือน ม.ค. 65 อยู่ที่ระดับ 59.0 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 58.0จุด เนื่องจากภาวะอุปทานชะงักงันเริ่มบรรเทาลงดัชนีฯ PMIภาคบริการ (เบื้องต้น)เดือน ม.ค. 65 อยู่ที่ระดับ 51.2 จุด ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 53.1จุด เนื่องจากมีการใช้มาตรการจำกัดการเดินทางบางส่วนเพื่อควบคุมการติดเชื้อโควิด-19ที่เพิ่มขึ้นดัชนีฯ PMIภาคอุตสาหกรรม (เบื้องต้น)เดือน ม.ค. 65 อยู่ที่ระดับ 55.3 จุด ลดลงจากเดือน ธ.ค. 64ที่อยู่ที่ระดับ 57.7จุด เนื่องจากขาดแคลนปัจจัยการผลิต และแรงงานที่ต้องกักตัวจากการติดเชื้อโควิด-19 ดัชนีฯ PMIภาคบริการ (เบื้องต้น)เดือน ม.ค 65 อยู่ที่ระดับ 45.0 จุด ลดลงจากเดือน             ธ.ค. 64ที่อยู่ที่ระดับ 55.1จุด เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19สายพันธุ์โอมิครอนได้กดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคบริการอัตราเงินเฟ้อ ณ ไตรมาส 4 ปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 3.0เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น และอุปสงค์ที่ฟืนตัวเป็นสำคัญ
เครื่องชี้เศรษฐกิจต่างประเทศดัชนีฯ PMIภาคอุตสาหกรรม เดือน ม.ค. 65 อยู่ที่ระดับ 53.7 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 52.5จุดผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 15.6 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 14.1จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากอุปกรณ์วิศวกรรมความแม่นยำเป็นสำคัญอัตราเงินเฟ้อ เดือน ธ.ค. 64 อยู่ที่ร้อยละ 4.0 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 3.8จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากต้นทุนค่าอาหารเป็นสำคัญอัตราว่างงาน ไตรมาส 4 ปี 64 (เบื้องต้น) อยู่ที่ร้อยละ 2.4 ของกำลังแรงงานรวม ลดลงจากไตรสมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 2.6ของกำลังแรงงานรวมมูลค่าการส่งออก เดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 29.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 32.4จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการนำเข้า เดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 23.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 38.0จากช่วงเดียวกันของปีก่อนดุลการค้า เดือน ธ.ค. 64 เกินดุลที่ 31.0 พันล้านริงกิตมาเลเซีย เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่เกินดุลที่ 18.9 พันล้านริงกิตมาเลเซียมูลค่าการส่งออก เดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 24.8จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 25.0จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมูลค่าการนำเข้า เดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 19.3จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 20.0จากช่วงเดียวกันของปีก่อนดุลการค้า เดือน ธ.ค. 64 ขาดดุลที่ 3.28หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกงเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขาดดุลที่ 1.16 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง

ดัชนีฯ PMI ภาคอุตสาหกรรม (เบื้องต้น)เดือน ม.ค. 65 อยู่ที่ระดับ 56.9 จุด ลดลงจากเดือน ธ.ค. 64ที่อยู่ที่ระดับ 57.9จุด เนื่องการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิดสายพันธุ์โอมิครอนทำให้ยอดขายสินค้าลดลงดัชนีฯ PMIภาคบริการ (เบื้องต้น)เดือน ม.ค. 65 อยู่ที่ระดับ 53.3 จุด ลดลงจากเดือน ธ.ค. 64ที่อยู่ที่ระดับ 53.6จุด และสวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 54.8 จุด เครื่องชี้เศรษฐกิจต่างประเทศGDPไตรมาสที่ 4 ปี 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 7.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 6.9 จากช่วงเดียวกันปีก่อน หรือคิดเป็นการขยายตัวที่ร้อยละ 3.1เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (หลังขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว) ส่งผลให้ทั้งปี 64เศรษฐกิจสิงคโปร์ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 5.6ต่อปีมูลค่าการส่งออก เดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 7.1 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 6.6จากช่วงเดียวกันปีก่อนมูลค่าการนำเข้า เดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 38.3 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 36.8จากช่วงเดียวกันปีก่อนดุลการค้า เดือน ธ.ค. 64 ขาดดุลที่ 5.2 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขาดดุล 4.7พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์GDPไตรมาสที่ 4 ปี 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 4.1จากช่วงเดียวกันปีก่อนเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 4.0จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นการขยายตัวที่ร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (หลังขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว) ส่งผลให้ GDPปี 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 4.0จากช่วงเดียวกันของปีก่อนผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 6.2จากช่วงเดียวกันของปีก่อนชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 6.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนยอดค้าปลีก เดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 6.5จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 4.6จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

GDPไตรมาสที่ 4 ปี 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 4.9จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 3.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเป็นการคิดขยายตัวที่ร้อยละ11.1เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า(หลังขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว)ส่งผลให้GDP ปี64 ขยายตัวที่ร้อยละ 6.3จากช่วงเดียวกันของปีก่อนผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน ธ.ค. 64ขยายตัวที่ร้อยละ 9.98จากช่วงเดียวกันของปีก่อนชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 11.37จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 5เดือนยอดค้าปลีก เดือน ธ.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.72 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 6.85จากช่วงเดียวกันของปีก่อนดัชนีฯ PMIภาคอุตสาหกรรม เดือน ม.ค. 65อยู่ที่ระดับ 55.1จุดลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 55.5จุด เครื่องชี้ตลาดเงิน ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนดัชนี SETปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนสอดคล้องกับตลาดหลักทรัพย์อื่น ๆ ในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อน เช่นNikkei225(ญี่ปุ่น)HSI(ฮ่องกง)และ CSI300(เซี่ยงไฮ้)เป็นต้นเมื่อวันที่27 ม.ค.65 ดัชนีปิดที่ระดับ1,634.17จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยระหว่างวันที่ 24-27ม.ค. 65อยู่ที่ 85,248.14 ล้านบาทต่อวัน โดยนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ เป็นผู้ซื้อสุทธิ ขณะที่ นักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ เป็นผู้ขายสุทธิ ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 24-27ม.ค. 65นักลงทุนต่างชาติซื้อหลักทรัพย์สุทธิ 5,382.99ล้านบาทอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโดยรวมปรับตัวลดลงในช่วง -1ถึง-6bpsโดยในสัปดาห์นี้นักลงทุนมีการประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุ 31ปี ซึ่งมีนักลงทุนสนใจ1.75เท่าของวงเงินประมูล ทั้งนี้ระหว่างวันที่ 24-27ม.ค. 65กระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ ไหลเข้าในตลาดพันธบัตรสุทธิ 12,826.87 ล้านบาทและหากนับจากต้นปีจนถึงวันที่ 27ม.ค. 65กระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ ไหลเข้าในตลาดพันธบัตรสุทธิ 79,201.69ล้านบาทเงินบาทอ่อนค่าลงจากสัปดาห์ก่อน โดย ณ วันที่ 27ม.ค. 65เงินบาทปิดที่ 33.19บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงร้อยละ -0.76จากสัปดาห์ก่อนหน้า สอดคล้องกับเงินสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาค อาทิ เงินสกุลเยน ยูโร วอน ริงกิตและดอลลาร์สิงคโปร์ ที่ปรับตัวอ่อนค่าลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินสกุลหยวนปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค่ามากกว่าเงินสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาค ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) อ่อนค่าลงร้อยละ -0.49จากสัปดาห์ก่อน

ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ